เหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนก็หมดปี 2568 แล้ว ปีนี้เป็นปีแห่งความผันผวนสูงจริงๆ ที่เห็นชัดๆ ‘หุ้นโลก’ ยังคงเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงเป็นไวกิ้งตลอดทั้งปี ทองคำที่เดินหน้าทำสถิติประวัติศาสตร์ใหม่มาต่อเนื่องก็เริ่มปรับฐานแล้ว คริปโทเคอร์เรนซียังคงหวือหวายิ่งกว่าหุ้นโลก
แต่ไม่ว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วิถีนักลงทุนอย่างพวกเราก็ต้องไปต่อโดยเฉพาะนักลงทุนสาย VI ที่พร้อมเป็นชาวสวน เพื่อคว้าโอกาสในวิกฤติ และผมจะชวนติดอาวุธการลงทุนด้วย ‘มหัศจรรย์ของพลังดอกเบี้ยทบต้น’ ทริคของคนที่มีเงินน้อยก็มีโอกาสสร้างเงินล้านได้ สร้างความมั่งคั่งในอนาคตแน่นอน
‘สหรัฐฯ – จีน’ พักยกสงครามการค้า 1 ปี Fed ลดดอกเบี้ย
ผมขอฉายภาพกระแสโลกที่เกิดขึ้นในช่วงต้นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และมาวัดปรอทความร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโมเมนตัมจากกระแส AI ฟองสบู่ เป็นตัวขับเคลื่อนให้ทำ All Time High ไม่พักจนถึงวันนี้
ปิดฉากงานประชุม APEC ปี 2568 ณ ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ จบลงด้วยบรรยากาศของผู้นำประเทศต่างๆ หารือถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งผู้นำจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาร่วมประชุมเป็นประจำทุกปี
และปีนี้เป็นปีพิเศษกว่า เพราะมีคู่หยุดโลก 2 ประธานาธิบดี ‘สีจิ้นผิง-โดนัลด์ ทรัมป์’ นัดพบปะพูดคุยแบบ ‘ทวิภาคี’ (bilateral meeting) กันอยู่ข้างๆ งาน APEC 2025 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีสี เดินทางมาร่วมประชุม APEC อยู่แล้ว
ผลการหารือของ 2 ผู้นำโลก ‘สหรัฐฯ – จีน’ รอบนี้ได้บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว 1 ปี! (แปลว่าจะต้องเจรจาใหม่ทุกปี) สิ่งที่ตกลงร่วมกันได้ คือ สหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าบางส่วนให้จีน จากประมาณ 57% ลงมาเป็นราว 47% เพื่อแลกกับจีนยอมจัดส่ง ‘แร่หายาก’ หรือ ‘rare earths’ และทรัพยากรสำคัญอื่นๆ ให้สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ ก็ยินดีที่จะเลื่อนใช้มาตรการส่งเสริมหรือควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีนในช่วงหนึ่งปี (suspension) เพื่อให้บรรยากาศคลี่คลายลง ขณะที่จีนยอมตกลงที่จะเริ่มซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ทันที และมีแผนซื้อในระดับหลายล้านตันในช่วงต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่มีการตกลงอย่างเป็นทางการในประเด็นไต้หวัน เกี่ยวกับชิปขั้นสูง
การพบปะดังกล่าวถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่ส่งออกมาว่าอเมริกาและจีนอาจพยายามลดความเสี่ยงจากการเผชิญหน้า และ ‘สร้างพื้นที่ร่วม’ มากขึ้น ส่วนนักลงทุน นักธุรกิจ ก็โล่งใจที่บรรยากาศทางการค้าและซัพพลายเชนอาจมี ‘ช่วงสงบ’ มากขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับปลดล็อกทั้งหมด
โลกยังกังวลต่อคู่พี่ใหญ่ของโลก คือ แม้จะมีการ ‘หยุดการสู้รบทางการค้า’ แต่ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง (structural reset) ของความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ และยังมีประเด็นหลักหลายอย่าง เช่น สิทธิในเทคโนโลยี, ความเป็นผู้นำด้าน AI, แรร์เอิร์ธ และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างลึกซึ้ง ขณะที่ภายหลังวันที่ประชุม มีความเห็นออกมาว่า APEC เองกำลังเผชิญกับแรงกดดัน เพราะจีนถูกตั้งคำถาม ‘การค้าเสรีและเท่าเทียม’ (free & fair trade)
ความเสี่ยงโลกการค้าในช่วงต่อจากนี้ไป คือ ข้อตกลงใดบังคับใช้จริงใน 1 ปีนี้ และผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การส่งออก เช่น แรร์เอิร์ธ, ถั่วเหลือง, เทคโนโลยี จะเป็นอย่างไร ปัญหาห่วงโซ่ส่งออกที่พึ่งพิงจีนหรือสหรัฐฯ มากเกินไป ล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้ายความไม่แน่นอนของนโยบายหลังครบทุก 1 ปี จะต้องเจรจากันใหม่ สะท้อนว่า สงครามการค้าสงครามภาษีสงครามเทคโนโลยียังเป็นเงามืดครอบงำโลกการค้าอยู่ตลอดช่วงวาระของประธานาธิบดีทรัมป์
ส่วนศึกในประเทศของสหรัฐฯ มี 2 เรื่องสำคัญ
1. รัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะ Shut Down เป็นเวลายาวถึง 30 วันแล้ว! ยาวนานมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ และหากยังไม่กลับมาเปิดภายใน 6 วัน จะทำให้ ปี 2025 กลายเป็นการ Shut Down ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
2. จับสัญญาณดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ( Fed ) ซึ่งหลังการประชุมรอบเดือนตุลาคมล่าสุด (30 ต.ค.) มีมติเสียงแตก 10 ต่อ 2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 3.75 – 4% ตามที่ตลาดคาดการณ์ พร้อมประกาศยุติการลดขนาดงบดุล (QT) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้ ซึ่งยังเหลือขนาดงบดุลประมาณ 6.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
‘เจอโรม พาวเวล’ ประธาน Fed ระบุว่า การปรับลดดอกเบี้ยเป็นการป้องกันความเสี่ยง ยังไม่ใช่เข้าสู่รอบของการผ่อนคลายนโยบายการเงินก็ตาม พร้อมส่งสัญญาณว่า โอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม ยังไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนหลังจากที่ตลาดคาดหวังสูง 90% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนสุดท้ายของปีนี้
ตลาดประเมินว่า การตัดสินใจรอบนี้ของ Fed สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้งตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัว เงินเฟ้อที่ยังสูง และข้อมูลเศรษฐกิจที่ขาดหายไปจากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาล ทำให้พาวเวลเลือกที่จะชะลอจังหวะดำเนินนโยบายการเงินมากกว่าที่จะเร่งผ่อนคลาย ท่ามกลางแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ให้ Fed ลดดอกเบี้ยแรงกว่านี้
ถ้อยแถลงของประธาน Fed ที่ออกมาทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินในเวลานั้น สะดุดข่าวพลิกจากบวกเป็นลบ ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันที ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวกลับขึ้นเหนือระดับ 4% ขณะที่ดัชนีหุ้นหลักที่ดีดตัวขึ้นก็อ่อนตัวลงช่วงท้ายตลาดของวันแถลงดังกล่าว
แต่เมื่อเร็วๆ นี้ สหรัฐฯ เปิดตัวเลขเงินเฟ้อ เดือนกันยายนอยู่ที่ 3.0% ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด กลับมาเพิ่มความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีพื้นที่ ‘ลดดอกเบี้ย’ เร็วกว่าที่คิด ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสินทรัพย์เสี่ยงอาจตอบรับเชิงบวกจากข่าวนี้ ซึ่งเปลี่ยนอารมณ์ตลาดช่วงก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงหลังการประชุม Fed ออกมา
หุ้นสหรัฐฯ แกว่ง ผวา ‘AI ฟองสบู่’ หรือ ‘AI Revolution’ กันแน่
เรามาดูความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโลกกันครับ ล่าสุด ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ ทำสถิติใหม่ กระจุกตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนนี้แค่เพียงหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ก็นับเป็นสัดส่วนสูงถึง 42% ของมูลค่าตลาดทั้งหมดแล้ว เป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ แม้แต่ดัชนี Nasdaq ยังปิดบวกเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้มาเกือบ 30 ปีแล้ว
ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า ‘หุ้น Nvidia’ เพียงตัวเดียว กำลังมีมูลค่ามากกว่า GDP ของเยอรมนี, ญี่ปุ่น และอินเดียเสียอีก
ในเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ‘Nvidia’ ออกมาสร้างประวัติศาสตร์มากมาย จนยกให้เป็น ‘วัน Nvidia’ แล้ว เพราะเพียงแค่วันนี้วันเดียว Nvidia ประกาศข่าวใหญ่ไม่ว่าจะเป็นลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน Nokia, ประกาศจับมือ Palantir , เตรียมเปิดตัวพันธมิตรด้าน AI กับ Hyundai และ Samsung, จับมือกับกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตรียมสร้าง ‘ซูเปอร์คอมพิวเตอร์’ และประกาศคาดการณ์รายได้ ‘5 แสนล้านเหรียญ’ ใน 6 ไตรมาสข้างหน้า และกลายเป็นบริษัทแรกในโลกที่มูลค่าทะลุ ‘5 ล้านล้านเหรียญ’
หรือนี่อาจเป็นสัญญาณชัดว่า ‘AI Revolution’ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
สวนทางกับเสียงวิตกกังวล ‘ฟองสบู่ AI แตก’ ดังก้องในตลาดอยู่ …
JP Morgan เตือน! นักลงทุนกำลังหลงใหลหุ้นกลุ่ม ‘Magnificent 7’ มากเกินไปจนเกิดภาวะ Overcrowded Trade และราคามีความเสี่ยงกลับตัวลงแรงในไม่ช้า หากเศรษฐกิจแย่หรือกำไรบริษัทเริ่มชะลอ
นักลงทุนทั่วโลกต่างค้นหาคำตอบที่ยากจริงๆ มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้? ฟองสบู่เทคฯ จะแตกจริงไหม? หรือปรากฏการณ์นี้คือโอกาสลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยพบเห็นมา? ‘AI Bubble หรือ Mega Opportunity?
แต่ถึงแม้ในวันใดที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลง จะพบว่า หุ้นส่วนใหญ่ที่ร่วงหนัก จะเป็นกลุ่ม Big Tech และ AI เท่านั้น เพราะหากเราไปดูดัชนี S&P 500 Equal Weight หรือดัชนีที่ให้ ‘น้ำหนักหุ้น 500 ตัวเท่ากัน’ ไม่ว่าบริษัทจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน ดัชนีนี้กลับบวกอยู่
ปีนี้จึงเป็นอีกปีที่หุ้นสหรัฐฯ ทำผลงานโดดเด่นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยตั้งแต่ต้นปี 2025 ถึงปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 มีผลตอบแทนประมาณ +13.9%(YTD) ส่วน Nasdaq 100 อยู่ที่ราว +20.68%(YTD) เมื่อรวมผลตอบแทนของตลาดในช่วง 2 ปีก่อนหน้า (2023-2024) ที่ +40% ไปแล้ว ทำให้ 3 ปีมานี้ ผลตอบแทนบวกไปกว่า 50-60% ทีเดียว
มุมมองตลาดสหรัฐฯ ยังน่าลงทุนหรือไม่ ผมเชื่อว่า ตลาดยังขาขึ้นโดยรวม YTD เป็นบวกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แสดงถึงโมเมนตัมที่ดี และมีหลายภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น นอกเหนือจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ภาคอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคที่เริ่มฟื้นตัว โดยปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นสหรัฐฯ ยังทำ All Time High ต่อเนื่อง ก็มาจากบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ประกาศกำไรงวดไตรมาส 3 ออกมา ซึ่งมีสัดส่วนถึง 85% ของบริษัทใน S&P 500 ที่ทำกำไรได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ด้านภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีสัญญาณแข็งแรงในหลายจุด แม้จะมีความเสี่ยงภายในประเทศอยู่ กดดันการเติบโตของ GDP ก็ตาม
แต่ความเสี่ยงที่ควรระวัง แน่นอนว่า นโยบายการค้าระหว่างประเทศขึ้นอยู่กับตัวทรัมป์เป็นสำคัญ ความกังวลเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ยังสูงหรืออาจจะลดน้อยกว่าคาด ขึ้นอยู่กับมุมมองของ Fed และปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ
ความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นไปค่อนข้างสูงแล้ว ทำให้ valuation อาจเริ่มถูกตั้งคำถามยังคุ้มค่าจะเข้าลงทุนในตอนนี้หรือไม่? ซึ่งไม่มีใครคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรอกครับ
ผมจึงแนะนำลูกค้าให้ทำการ Rebalance พอร์ตในส่วนที่ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เมื่อมีกำไรมากพอสมควรแล้ว เพื่อลดความเสี่ยงครับ โดยขายบางส่วนออกมาเท่านั้นเอง และหันมากระจายความเสี่ยงไปยังภูมิภาคอื่นหรือสินทรัพย์อื่นก็น่าสนใจ เพราะตลาดอาจมีช่วงพักหรือปรับฐานอยู่
ผมเชื่อว่านักลงทุนทั่วโลกก็ทำ Rebalance หุ้นสหรัฐฯ กันเป็นระยะๆ เราจึงเห็นดัชนีปรับฐานลง แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่รอจังหวะซื้อสวนเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นปรับลงเป็นระลอกในช่วงปลายปีนี้ครับ
แต่ถ้ามาดูความเคลื่อนไหวของนักลงทุนตำนานโลก คุณปู่ ‘Warren Buffett’ ยังคงสะสมเงินสดเพิ่มขึ้นจนเฉียด ‘4 แสนล้านดอลลาร์’ แล้ว สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นักลงทุนชาวสวน หัวใจแกร่งต้องเดินหน้าลงทุน
คุณปู่ ‘Warrant Buffet’ มักเตือนเสมอว่า การคาดเดาว่า ฝนจะตกเมื่อไหร่นั้นไม่มีความหมาย แต่การสร้างเรือต่างหากที่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ ฉะนั้น ในโลกการลงทุน อย่าพยายามไปคาดเดาว่า Fed จะปรับขึ้นหรือลงของอัตราดอกเบี้ยเลย ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือตกเท่าไหร่ เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร เพราะการคาดเดาเช่นนี้ ไม่ได้ส่งผลให้พอร์ตมีกำไรขึ้นมาได้ แต่การสร้างพอร์ตที่แข็งแรงเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ดีกว่า
สิ่งที่ผมอยากสื่อสารคือ หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้นระหว่างทาง สิ่งสำคัญ คือ การตั้งสติรับมือไตร่ตรองวิเคราะห์สินทรัพย์ต่างๆ ที่ลงทุนอยู่ในพอร์ต ว่ายังแข็งแรงเติบโตไปต่อได้ เพราะหากคุณได้วางแผนการลงทุนอย่างถูกหลักการมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว คุณก็ควรจะมั่นใจเดินหน้าลงทุนต่อไป
ยิ่งในช่วงที่มีมรสุมหรือวิกฤติใดๆ เกิดขึ้นหรือตลาดมีการปรับฐานลงในช่วงใด ผมแนะนำให้เฟ้นหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ดีมีอนาคตเติบโตในราคาถูกหรือราคาเหมาะสม เพราะการใส่เงินเพิ่มทุนในช่วงเวลาเช่นนี้ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของพอร์ตระยะยาว
ใครที่มีพอร์ตลงทุน Core & Satellite อยู่แล้ว และได้ทำการ Rebalance พอร์ตในส่วนของทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ ออกมาไว้ก่อนหน้านี้ตามที่ผมแนะนำไป ตอนนี้ถือเป็นโอกาสทองที่จะเพิ่มลงทุนในหุ้นดีราคาถูกหรือสินทรัพย์ที่เฝ้ารอมานานจนราคาร่วงลงมาหาแล้ว ซึ่งลูกค้าผมก็ได้เพิ่มลงทุนกันคึกคักในช่วงตลาดปรับลงครับ
มหัศจรรย์ของพลังดอกเบี้ยทบต้น ทริคทำเงินน้อยเป็นเงินล้าน
จริงๆ การเพิ่มลงทุนที่นิยมกันมาก คือ ลงทุนถัวเฉลี่ย หรือ DCA แบบเป็นรายเดือน บางคนอาจเป็นรายไตรมาสหรือครึ่งปี หรืออาจเป็นช่วงที่มีเงินโบนัสเงินพิเศษใดๆที่เกิดขึ้นก็แบ่งมาลงทุนเพิ่มตามช่วงเวลา เพราะแต่ละคนอาจมีเม็ดเงินในการเพิ่มทุนที่แตกต่างกันไป
ถ้าคุณใส่เงินเพิ่มทุน หรือ DCA ไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็น ‘พลังดอกเบี้ยทบต้น’ ครับ ซึ่งเป็นพลังมหาศาลถึงขั้นที่อัจฉริยะอย่าง ‘Albert Einstein’ ยกว่าเป็น ‘สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก’
โดยพลังของดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้มาจากการที่เราใส่เงินเพิ่มเข้าไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการที่ ‘ผลตอบแทน’ ที่เราได้รับจากการลงทุนต่างๆ ไปลงทุนซ้ำ เรียกว่า Reinvest สร้าง ‘ผลตอบแทนของตัวมันเอง’ ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานปีเท่าไร พลังนี้ก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น เราจะเห็น เงินเติบโตแบบก้าวกระโดด
หัวใจของความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นเกิดขึ้นได้ มี 3 องค์ประกอบ
- จำนวนเงินลงทุน เริ่มจากเงินก้อนเล็กๆ แต่ใส่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายเดือนหรือทุก 3 เดือน เรียกว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) อย่างต่อเนื่อง
- ระยะเวลา ยิ่งลงทุนนานเท่าไหร่ พลังของดอกเบี้ยทบต้น จะยิ่งทำให้เงินเติบโตเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทน ดอกผลที่ได้รับในแต่ละงวด จะทบเป็นเงินต้นในงวดต่อไป เพราะฉะนั้นยิ่งมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ระยะเวลานานขึ้น ผลตอบแทนจะมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน เริ่มจากกรณีง่ายที่สุด สมมติคุณมีเงิน 10,000 บาท เอาไปฝากประจำที่ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ผ่านไป 1 ปี เงินจะกลายเป็น 10,200 บาท พอขึ้นปีถัดไป ดอกเบี้ย 2% จะถูกคิดจาก 10,200 บาท ไม่ใช่ 10,000 บาทอีกต่อไป กลายเป็น 10,404 บาท และจะค่อยๆ งอกเพิ่มทีละเล็กทีละน้อย
แต่ถ้าเปลี่ยนจากการฝากเงินเป็นการลงทุน สมมติผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% ภาพที่ได้จะต่างออกไปมาก เงินก้อนเดียวกัน 10,000 บาท ถ้าปล่อยไว้ 10 ปีจะกลายเป็น 22,196 บาท ถ้าปล่อยต่อไป 20 ปีจะโตเป็น 49,268 บาท และถ้าไม่แตะต้องเลย 30 ปีเต็ม เงินก้อนเล็กนี้จะขยายเป็น 109,357 บาท
แต่ถ้าเราไม่ได้ปล่อยให้เงินก้อนเดียวทำงาน แต่ ‘เติมเงินเข้าไปทุกเดือน’ หรือ DCA สมมติว่าเติมเดือนละ 1,000 บาท พร้อมเงินต้นก้อนแรก 10,000 บาท ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี ตัวเลขจะเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด
จากการคำนวณ พบว่า เงินก้อนดังกล่าวหลังผ่านไป 10 ปี จะกลายเป็น 205,142 บาท ผ่านไป 20 ปี จะเติบโตทะลุ 638,288 บาท และถ้าให้เวลาถึง 30 ปีเต็ม เงินเพียงหลักพันที่ใส่เข้าไปทุกเดือนจะงอกเงยจนกลายเป็นเงินเก็บกว่า 1,599,717 บาทเลยทีเดียว
อีกตัวอย่างที่อยากให้เห็นภาพเรื่องของ ‘เวลา’ คือส่วนผสมสำคัญ
เวลาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นทรงพลังขึ้นอย่างมหาศาล เพราะไม่ใช่แค่เงินต้นหรือผลตอบแทนเท่านั้นที่สำคัญ แต่ ‘จำนวนปี’ ที่ปล่อยให้เงินได้ทำงาน ก็ส่งผลต่อปลายทางอย่างมาก ลองดูตัวอย่างนี้แล้วจะเห็นภาพชัดขึ้น
สมมติ นาย A เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 22 ปี ลงเดือนละ 1,000 บาท ในพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี เขาใส่เงินต้นรวม 456,000 บาท แต่เมื่อถึงอายุ 60 เงินก้อนนี้จะงอกเงยกลายเป็น 2,954,310 บาท ด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่สะสมต่อเนื่อง
ในขณะที่นาย B เริ่มช้ากว่า คือเพิ่งลงทุนตอนอายุ 40 ปี ด้วยจำนวนเงินเดือนละ 1,000 บาทเท่ากัน และผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากัน เขาลงทุนได้แค่ 20 ปี รวมเงินต้น 240,000 บาท ปลายทางโตเป็นเพียง ราว 589,020 บาท เท่านั้น
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นของนาย A จากเงินต้น 456,000 โตเป็น 2,954,310 บาท เงินเพิ่มขึ้นถึง 2,498,310 บาท
ส่วนนาย B เงินต้น 240,000 บาท โตเป็น 589,020 บาท เงินเพิ่มขึ้นเพียง 349,020 บาท แม้เงินต้นจะต่างกันแค่ 216,000 บาท แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับต่างกันถึง 2,149,290 บาท
นี่คือพลังของ ‘เวลา’ ที่คุณจะได้จากมันมากขึ้น หากคุณลงทุนได้นานมากพอ
จากสองตัวอย่างข้างต้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดอกเบี้ยทบต้นนั้นมีพลังจริงๆ เพราะมันคือ กลไกที่ทำให้เงินก้อนเล็ก ค่อยๆ งอกเงยกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ โดยปล่อยให้ ‘เวลา’ ทำงานแทนเรา
มหัศจรรย์ของพลังดอกเบี้ยทบต้น ได้กลายเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จของนักลงทุนมืออาชีพชื่อดังทั่วโลกนิยมใช้กันมายาวนานไม่เว้นแม้แต่คุณปู่ Warren Buffett และอีกหลายๆ ท่านที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายวิกฤติของโลก วันนี้ล้วนสร้างพอร์ตใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลกตามกันมาติดๆ
‘ดอกเบี้ยทบต้น’ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เงินเติบโตได้อย่างมาก ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งโตได้มากกว่า แต่มีหลายคนที่อาจยังไม่เข้าใจหลักการทำงานของดอกเบี้ยทบต้น ทำให้พลาดโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งไปอย่างน่าเสียดาย
ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่ก้าวเข้ามาเป็นนักลงทุนสาย VI ต่างก็ ‘ฉลาดเลือก’ ยามวิกฤติจะขยันทำการบ้านวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเฟ้นหาของดีราคาถูกเดินหน้าลงทุนรอเก็บเกี่ยวผลตอบแทนกันไปยาวๆ ครับ แม้คุณจะบอกว่า คุณเลือกลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนที่มาบริหารพอร์ตให้ แต่คุณยังจำเป็นต้องทำการบ้านตรวจเช็กสุขภาพพอร์ตและความเสี่ยงรอบด้านอยู่เสมอนะครับ เพราะไม่มีใครดูแลเงินของคุณได้ดีเท่ากับตัวคุณเอง
ใครที่เป็นมือใหม่หรือมือเก่าที่ลงทุนแล้วติดๆ ขัดๆ พอร์ตไม่โตสักที คุณลองใช้เครื่องมือมหัศจรรย์ ‘ดอกเบี้ยทบต้น’ เป็นทริคสร้างเงินน้อยเป็นเงินล้านปูทางชีวิตคุณมีหลักประกันด้านการเงินที่มั่นคง และทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินที่เร็วขึ้นและได้เลือกใช้ชีวิตที่เป็นอิสระได้ โดยไม่ต้องทำงานหาเงินจนถึงเกษียณครับ
และรู้หรือไม่! เคล็ดลับของคนที่ประสบความสำเร็จการลงทุน อยู่ที่ ‘เวลา’ เริ่มเร็วกว่าเพียงไม่กี่ปีก็สร้างความต่างจากหลักแสนเป็นหลักล้าน….มองเห็นอนาคตรวยเร็วแน่นอน


