ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับขึ้นอย่างโดดเด่น ขึ้นแรงและเร็วจากระดับ 1,200 จุด ปรับขึ้นมากกว่า 150 จุด สู่ระดับ 1,350 จุดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหุ้นหลักขนาดใหญ่ต่างๆ ทั้งกลุ่มพลังงานและธนาคารปรับขึ้นอย่างโดดเด่น
ทั้งนี้ คงมีคำถามในใจนักลงทุนว่า SET เกิดจุดเปลี่ยนแนวโน้มหรือยัง และจะขึ้นไปถึงระดับไหน ดังนั้นเราจะมาวิเคราะห์แนวโน้ม SET กันครับ โดยตอบคำถามข้อแรกก่อนว่า SET เกิดจุดเปลี่ยนแนวโน้มหรือยัง
คำตอบคือเกิดจุดเปลี่ยนแนวโน้มแล้วครับ หรือบริเวณ 1,187 จุดที่ทำไว้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมเป็นจุดต่ำไปแล้วนั่นเอง ซึ่งแสดงว่าทิศทางตลาดขาลงของบ้านเราที่กินเวลามากว่า 5 เดือนได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยมีปัจจัยหนุนหลัก 2 ประเด็น ได้แก่
1. ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่ง โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะไม่ได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาก็ตาม เนื่องจากวุฒิสภาครองเสียงข้างมากโดยพรรครีพับลิกัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นตอบรับชัยชนะของไบเดน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเนื่องจากนโยบายการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของพรรคเดโมแครตน่าจะทำไม่ได้ง่ายนัก เนื่องจากจะถูกขัดขวางจากพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา เช่นเดียวกับนโยบายขึ้นภาษีนิติบุคคล
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียรวมถึง SET ปรับตัวขึ้น เนื่องจากมองว่านโยบายการค้าระหว่างประเทศของไบเดนน่าจะมีความเป็นมิตรกว่า หรือกดดันคู่ค้าสำคัญอย่างจีนน้อยกว่านโยบายของทรัมป์
2. ความคืบหน้าเรื่องวัคซีนโควิด-19 หลังผลการทดลองวัคซีนของบริษัท Pfizer และ BioNTech ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในระดับสูงกว่า 90% ตัวเลขนี้ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์หวังที่จะได้เห็นตัวเลขที่ 75% ก็พอใจแล้ว
ทั้งนี้ ทาง Pfizer และ BioNTech คาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ 50 ล้านโดสในปี 2020 และ 1,300 ล้านโดสในปี 2021 สองปัจจัยบวกหลักนี้เองทำให้คาดว่า SET ทำจุดต่ำสุดไปแล้ว และเปลี่ยนแนวโน้มเข้าสู่รอบการปรับตัวขึ้น มาถึงคำถามที่ว่าแล้ว SET จะปรับขึ้นไปถึงระดับไหน ซึ่งมุมมองของผมมองว่าบริเวณ 1,400-1,450 จุดมีความเป็นไปได้ โดยผมมีสมมติฐานที่สนับสนุนมุมมองของผม ได้แก่
1. ความหวังเรื่องวัคซีน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะนำออกมาใช้ในช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้า ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมากระตุ้นการบริโภคในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนโดยตรงต่อกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมีในบ้านเราที่มีน้ำหนักต่อตลาดเป็นปัจจัยหนุน SET
2. ด้วยการที่ SET บ้านเราถูกถ่วงน้ำหนักด้วยกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมีในระดับที่มาก ทำให้ผมมองจะเป็นจุดสนใจของทิศทาง Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติให้ไหลเข้ามาใน SET
นอกจากนี้การที่ SET เคลื่อนไหว Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาคมานาน ทำให้ Upside ปัจจุบันดูมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนให้ใช้ช่วงที่ SET อ่อนตัวเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ ซึ่งบริเวณที่น่าสนใจอยู่ที่ฐานบริเวณ 1,300 จุด ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดรองรับได้
โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจให้น้ำหนักในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่คาดว่าจะเป็นกลุ่มนำ SET ขึ้นในรอบนี้ ซึ่งกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่
1. SPALI คาดกำไรในไตรมาส 4/63 มีแนวโน้มดีต่อเนื่องรวมถึงปีหน้า จากยอดโอนที่โดดเด่นทั้งคอนโดและแนวราบ รวมถึงคาดว่าในปีหน้าจะมีกำไรพิเศษจากการจัดตั้ง SPALIRT
2. BAM การฟื้นตัวของการชำระหนี้และยอดขาย NPA จะปรับตัวดีขึ้น ส่วนกรณีมีการปรับเปลี่ยนวิธีรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีไม่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากผลประโยชน์ทางภาษีจะถูกบันทึกผ่านส่วนของผู้ถือหุ้นแทนงบกำไรขาดทุน ซึ่งจะยังคงสามารถนำมาใช้จ่ายเงินปันผลได้
3. BGRIM รายงานกำไรปกติไตรมาส 3/63 ทำ New High จากการฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติของลูกค้าอุตสาหกรรม ส่วนระยะยาวเติบโตดี โดยในปี 2565-2566 จะมีกำลังการผลิตรวม 980 เมกะวัตต์ มีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD)
4. PTTGC คาดผลประกอบการครึ่งปีหลังดีขึ้นจากอุปสงค์นํ้ามันสําเร็จรูปและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่น่าจะฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 2563 ธุรกิจโอเลฟินส์จะช่วยสนับสนุนผลการดําเนินงานปีนี้
5. TOP กําไรไตรมาส 3/63 สูงกว่าคาดจากกําไรจากสต๊อกนํ้ามันและการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ ส่วนกำไรไตรมาส 4/63 คาดว่าจะเติบโต หนุนจากกําไรจากการขายหุ้นที่ถืออยู่ใน GPSC
ส่วนกลุ่มที่แนะนำให้ลดน้ำหนัก ได้แก่ กลุ่มหุ้นที่เคยได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้นมามาก ทำให้มีโอกาสถูกขายปรับพอร์ตเพื่อหมุนเม็ดเงินไปในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวัคซีนแทน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์