หลังให้แฟนเพลงทั่วโลกต่างรอมานาน 6 ปี หนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีอย่าง Adele (อเดล) ก็ได้ปล่อยอัลบั้มลำดับชุดที่ 4 ของเธอออกมาแล้วที่ใช้ชื่อว่า ‘30’
สำหรับเนื้อหาองค์รวมของอัลบั้ม ‘30’ พูดถึงความสัมพันธ์และผลกระทบจากการที่ Adele ได้ตัดสินใจเลิกรากับอดีตสามี Simon Konecki และการที่เธอสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ จากเหตุการณ์นี้เพื่อมาเจอตัวตนของเธอในวันนี้ที่เธอนิยามว่าสมบูรณ์แบบและเป็นตัวเองมากที่สุด แถมก็เป็นอัลบั้มที่วันหนึ่งเธออยากให้ลูกชายวัย 9 ขวบของเธอ Angelo สามารถกลับมาฟังเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมคุณแม่ของเขาถึงตัดสินใจแยกทางจากคุณพ่อ แม้ในวันนี้ตัว Angelo เองจะไม่เข้าใจอะไรเพราะยังเป็นเด็กอยู่
อัลบั้ม ‘30’ มีทั้งหมด 12 เพลงสำหรับเวอร์ชันปกติที่ปล่อยทางแพลตฟอร์มสตรีมมิง โดย Adele เลือกทำงานกับนักเขียนและโปรดิวเซอร์อย่าง Greg Kurstin กับเพลงซิงเกิลแรก Easy On Me, เพลง Oh My God ที่ถือว่าล้ำสมัยสุดสำหรับ Adele และมีกลิ่นอายแนว Afrobeat, เพลง I Drink Wine ที่มีข่าวลือว่าอาจเป็นซิงเกิลที่ 2 และเพลง My Little Love ที่แต่งให้ลูกชาย Angelo โดยเฉพาะ
ต่อมา Adele ได้กลับมาร่วมงานกับคู่หูเจ้าพ่อเพลงป๊อปจากสวีเดนอย่าง Max Martin และ Shellback อีกครั้งกับเพลง Can I Get It ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่เพลงของเธอที่เราเชื่อว่าคนในคลับสามารถเต้นตามได้ด้วย ส่วนเพลง To Be Loved เราก็ได้เห็นนักร้องวัย 33 ปีกลับมาร่วมงานกับ Tobias Jesso Jr. หลังเคยทำเพลง When We Were Young จากอัลบั้ม ‘25’ มาแล้วด้วยกัน โดยเพลงสุดกินใจเพลงนี้ทาง Adele ก็เพิ่งปล่อยวิดีโอที่เธอร้องและอัดผ่านคอมพิวเตอร์ไปเมื่อวานนี้ ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนก็ยกให้เป็นหนึ่งในเพลงที่ Adele สามารถร้องและถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีสุดในชีวิต แต่เธอก็ได้บอกกับพิธีกร Zane Lowe ในสัมภาษณ์กับ Apple Music ว่าเธอจะไม่มีวันร้องเพลงนี้บนเวทีหรือสามารถฟังมันได้อีกเพราะเนื้อหาทุกข์ทรมานใจเธอมากเกินไป
ปิดท้ายด้วยสองโปรดิวเซอร์ใหม่ที่ Adele ได้ตัดสินใจร่วมงานครั้งแรก เริ่มด้วย Ludwig Göransson ผู้อยู่เบื้องหลังเพลงประกอบภาพยนตร์ Black Panther และเพลง This Is America ของ Childish Gambino ที่มาทำเพลงเปิดอัลบั้ม ‘30’ กับเพลงที่มีชื่อว่า Strangers By Nature ส่วน Inflo จากประเทศอังกฤษก็ได้ทำ 3 เพลง Woman like Me, Love Is A Game ที่ปิดอัลบั้มด้วยกลิ่นอายความเป็นแนวเพลงแบบป๊อปโซลค่าย Motown ยุค 6s ที่ชวนให้นึกถึง Amy Winehouse และเพลง Hold On ที่เปรียบเสมือนหัวใจหลักของอัลบั้ม ‘30’ ที่ Adele เพิ่งแสดงที่รายการ Adele: One Night Only ซึ่งทางพิธีกร Oprah Winfrey ก็ได้กล่าวว่าเพลงนี้ทรงพลังอย่างมาก และจะสามารถช่วยเหลือคนที่กำลังจมปลักอยู่กับความทุกข์และต้องการกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไปในชีวิต
สำหรับอัลบั้ม ‘30’ เราได้เห็น Adele สามารถเอาช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต และนำมาสร้างสรรค์หนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของเธอก็ว่าได้ แม้ชื่อเสียงของเธอจะดังขึ้นขนาดไหน เธอได้ย้ายไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิสจุดศูนย์กลางของวงการบันเทิง และรูปร่างของเธอจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ทุกกระเบียดนิ้วของอัลบั้มนี้ก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าทำไมคนทั่วโลกไม่ว่าจะเชื้อชาติ เพศ หรือศาสนาใด ถึงยังคงหลงรักผู้หญิงคนนี้เหมือนกับตอนนับหนึ่งที่เธอปล่อยเพลง Hometown Glory
*สามารถฟังอัลบั้ม ‘30’ ได้แล้วที่นี้:
ภาพ: CBS