วันนี้ (28 กันยายน) เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรครวมพลัง กล่าวชี้แจงถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าพรรครวมพลังจะควบรวมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค และ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรค ว่าการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ที่ผ่านมายังมีมติว่าให้พรรคดำเนินการหาสมาชิกพรรคเพิ่มและตั้งสาขาพรรคเพิ่มเติม ย้ำว่าพรรครวมพลังยังเคลื่อนไหวและจัดกิจกรรมทางการเมืองของพรรค รวมถึงยังมีแนวคิดที่จะสร้างโรงเรียนการเมือง เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกับพรรค และสมาชิกของพรรค เพื่อให้ความรู้ทางการเมืองและให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง รวมถึงอุดมการณ์และแนวทางของพรรค
เขตรัฐกล่าวย้ำว่า เข้าใจว่าการที่สูตรคำนวณเลือกตั้งจากหาร 500 เปลี่ยนเป็นหาร 100 นั้นทำให้เกิดข่าวลือไปต่างๆ รวมถึงปรากฏการณ์เกิดพรรคใหม่ขึ้นหลายพรรคที่รวมตัวกัน ยืนยันว่าพรรครวมพลังยังไม่มีแนวคิดที่จะควบรวมกับใคร
เขตรัฐกล่าวด้วยว่า สำหรับพรรครวมพลัง (อดีตรวมพลังประชาชาติไทย) ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2561 โดยผู้ก่อตั้งได้ช่วยกันระดมทุนเป็นเงินก้อนแรกให้แก่พรรคในการทำงานกว่า 600 ท่าน ท่านละ 50,000 บาท ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนที่สูงสุดตามที่กฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองได้กำหนดไว้ รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 30 ล้านบาทด้วยกัน แล้วยังมีค่าสมัครสมาชิกพรรคที่สมาชิกพรรคผู้ร่วมอุดมการณ์ได้ให้การสนับสนุนพรรค ทั้งในรูปแบบตลอดชีพและรายปี เป็นเงินจำนวนกว่า 13 ล้านบาท ที่ถือเป็นต้นทุนในการก่อร่างสร้างตัวของพรรคเพื่อต่อยอดในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ไปจนถึงงานระดมทุนให้พรรคได้มีโอกาสเข้ามารับใช้ประเทศชาติ ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 ท่าน เเละได้มีโอกาสดูแลกระทรวงแรงงาน ก่อนที่จะเปลี่ยนมารับผิดชอบดูแลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
“สิ่งที่พรรคเเละกรรมการบริหารพรรคคำนึงถึงที่สุดคือเสียงของผู้ร่วมก่อตั้ง สมาชิกพรรค และประชาชนทุกท่านที่ได้ลงคะแนนเสียงไว้วางใจให้พวกเราได้เข้ามาทำงาน เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปควบรวมกับใคร เรามีความจำเป็นที่ต้องคิดให้รอบคอบ และขอยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีความคิดที่จะควบรวมกับพรรคใดทั้งสิ้นตามกระแสข่าว และขอยึดในคำพูดที่ท่านหัวหน้าพรรคได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวานนี้” เขตรัฐกล่าว