วันนี้ (30 พฤษภาคม) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการพิจารณากฤษฎีกาตีความเรื่องการออกจากราชการไว้ก่อนของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าในวาระนั้นตนไม่ได้นั่งอยู่ในที่ประชุม
ทั้งนี้มีการพิจารณาเรื่องคำร้อง แต่ตนต้องออกจากห้องประชุมเนื่องจากอาจจะมีการพิจารณาที่ไม่เป็นกลางได้ เพราะตนเป็นผู้ออกคำสั่งออกจากราชการ ฉะนั้นเมื่อเป็นผู้ออกคำสั่งหากชี้แจงอะไร ข้อกฎหมายเกรงว่าอาจจะเข้าข้างตัวเอง
ส่วนคำสั่งออกจากราชการที่ผ่านมาตนไม่ได้พูดว่ามั่นใจในตัวคำสั่ง เพราะเป็นการพิจารณาตามที่ฝ่ายอำนวยการได้เสนอตามข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินตามขั้นตอนกฎหมายพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565
จากนี้จึงเป็นเรื่องระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากับสำนักนายกรัฐมนตรี ในทางกฎหมายเป็นกระบวนการขั้นตอนที่ดำเนินการตามมาตรา 140 ส่วนจะสมบูรณ์หรือไม่ ตนเองไม่สามารถให้คำนิยามคำนี้ได้
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตามมาตรา 120 ต้องรอผลการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดสืบสวน และคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) รวมทั้งจะพิจารณาตามมาตรา 131 เรื่องบทลงโทษ ยืนยันว่าพิจารณาตามขั้นตอนที่จะนำไปสู่มาตรา 140 คือการทูลเกล้าฯ
เมื่อถามว่าการที่กฤษฎีกาตีความประเด็นออกจากราชการกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นการเพลี่ยงพล้ำหรือไม่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ไม่เพลี่ยงพล้ำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามมาตรา 140
ส่วนสถานะของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย การที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน กระบวนการต่างๆ พิจารณาตามกฎหมาย ถ้าถามว่าสถานะเป็นอย่างไร คำตอบคืออยู่ในกระบวนการปฏิบัติที่กำลังดำเนินการ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ยังเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่หยุดปฏิบัติหน้าที่เนื่องจากคำสั่งออกจากราชการ
เมื่อถามย้ำว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ สามารถเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้หรือไม่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ท่านน่าจะพิจารณาเองได้
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ กล่าวยืนยันในตอนท้ายว่า ไม่หนักใจในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะการลงนามคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีจนถึงที่สุด จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงในอนาคต