×

ชฎาทิพนำทัพสยามพิวรรธน์ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญสู่ Above the Ocean Strategy

11.10.2022
  • LOADING...
สยามพิวรรธน์

HIGHLIGHTS

  • สยามพิวรรธน์วางกลยุทธ์ใหม่ จาก Blue Ocean Strategy ไปสู่ Above the Ocean Strategy ซึ่งก็คือกลยุทธ์ที่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลง โดยถอยตัวเองออกมา มองธุรกิจในบริบทใหม่ และทำลายกรอบเดิมๆ ในการทำธุรกิจ
  • กลยุทธ์ภายใต้ Above the Ocean Strategy คือ Sharing Economy, Co-Creation, Collaboration To Win และ Sustainable Value In Process 
  • Above the Ocean Strategy ในแบบสยามพิวรรธน์จะทำให้เราสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนกับทุกภาคส่วน ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกสู่สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำประเทศไทยสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีโลก

ถอดบทเรียนพลิกเกมของสยามพิวรรธน์ จาก Blue Ocean Strategy ไปสู่ Above the Ocean Strategy  

 

กว่า 63 ปีที่สยามพิวรรธน์ดำเนินธุรกิจอยู่คู่กับประเทศไทย มีการแข่งขันสูงในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะย่านสยามซึ่งเป็นสมรภูมิทางการค้าและเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจของประเทศ หรือแม้แต่ในช่วงของวิกฤตที่เกิดขึ้นในภาคเศรษฐกิจ สยามพิวรรธน์สามารถนำพาธุรกิจของคู่ค้าและร้านค้าทั้งหมดให้ผ่านพ้นทุกวิกฤตได้ทุกรูปแบบ เห็นได้จากวิกฤตล่าสุดช่วงสถานการณ์โควิด สยามพิวรรธน์เองก็ได้รับผลกระทบมากมาย แต่ด้วยประสบการณ์ก็สามารถพาธุรกิจให้ก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้มาได้อีกครั้งหนึ่ง

 

การพลิกเกมธุรกิจให้ก้าวไปสู่อนาคตเป็นเรื่องท้าทายที่ผู้นำและผู้บริหารต้องเผชิญ แม่ทัพใหญ่แห่งกลุ่มสยามพิวรรธน์ ชฎาทิพ จูตระกูล เป็นอีกกุญแจสำคัญในการฝ่าฟันวิกฤต และการใช้กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจผ่านกระแสธารของโลกที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว 

 

ความท้าทายภายหลังสถานการณ์โควิดเป็นสิ่งที่หลายองค์กรต่างขบคิดและเผชิญหน้าอยู่ เช่นเดียวกับสยามพิวรรธน์ที่วางกลยุทธ์ใหม่คือ การเปลี่ยนจาก Blue Ocean Strategy ไปสู่ Above the Ocean Strategy ซึ่งก็คือกลยุทธ์ที่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลง โดยถอยตัวเองออกมาและมองธุรกิจในบริบทใหม่ ทำลายกรอบเดิมๆ ในการทำธุรกิจให้หมดสิ้นไป พร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ บนคุณค่าที่เป็นต้นทุนของเราอย่างไม่มีข้อจำกัด ดำเนินธุรกิจโดยปราศจากคู่แข่ง แต่เปี่ยมไปด้วยพันธมิตร ร่วมกันสร้าง Ecosystem เพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าและยั่งยืน สร้างโลกใหม่ที่ไร้พรมแดนและเปี่ยมด้วยโอกาสหลากหลายมิติ

 

สิ่งที่สยามพิวรรธน์จะทำต่อไปภายใต้กลยุทธ์ Above the Ocean Strategy คือ การต่อยอดจากการสร้างคุณค่าไปสู่มูลค่า

 

  1. Sharing Economy แบ่งปันประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่ายผ่าน ONESIAM SuperApp และ VIZ COINS
  2. Co-Creation ผนึกกำลังกับพันธมิตรสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายทั้ง Physical Platform และ Digital Platform เพื่อขยายสู่การรองรับ Global Citizen
  3. Collaboration to Win ร่วมมือเพื่อเติบโตไปด้วยกัน โดยสร้างระบบนิเวศแห่งความสำเร็จร่วมกับ 50 พันธมิตร 13 อุตสาหกรรมที่ได้เริ่มทำงานร่วมกันแล้ว
  4. Sustainable Value in Process สร้างความยั่งยืนผ่านทุกกระบวนการและในทุกธุรกิจที่ดำเนินการ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันในทุกภาคส่วน ทั้งกับผู้คน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ สร้างนิยามและบุกเบิกธุรกิจใหม่ทั้งในรูปแบบสินค้า บริการ และแพลตฟอร์ม ส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นหลังสืบต่อไป

    

 

ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เปิดเผยว่า 

 

“โควิดที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์กลับมองว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ และได้ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากวิกฤตครั้งก่อนๆ ผนวกกับการตัดสินใจปรับตัว ปรับองค์กร อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถรับมือครั้งนี้ได้ ส่งผลให้ผลประกอบการใน 9 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ทั้งๆ ที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา

 

สยามพิวรรธน์

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์ใช้กลยุทธ์ Top of Mind 4 ด้าน ที่นำพาธุรกิจให้ยืนหยัดมาได้เสมอจนถึงวันนี้ ได้แก่

 

  • ที่หนึ่งในใจผู้คน ไม่ใช่แค่เฉพาะคนไทย แต่เป็นของคนทั้งโลก ซึ่งเป้าหมายนี้เป็นจริงได้เมื่อสยามพารากอนติดอันดับ 6 บน Global Facebook เป็นสถานที่ที่มีผู้เช็กอินมากที่สุดของโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีคนเช็กอินมากที่สุดบน Instagram ทุกศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวหลายประเทศว่าเป็นศูนย์การค้าที่พวกเขาชื่นชมมากที่สุดตลอดมา

 

  • ที่หนึ่งในใจคู่ค้า สยามพิวรรธน์ยึดมั่นที่จะทำให้คู่ค้าร้านค้านับหมื่นรายในศูนย์การค้าประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มีบทพิสูจน์ว่าสามารถสร้างทราฟฟิกโดยรวมในศูนย์การค้าได้มากกว่า 100 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวมากกว่า 25 ล้านคน ส่งผลให้ร้านค้าหลายแบรนด์ที่เปิดสาขากับสยามพิวรรธน์มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และแบรนด์จากต่างประเทศก็มียอดขายติดอันดับ Top 10 ของโลกเมื่อเปรียบเทียบกับสาขาอื่นๆ

 

  • เป็นที่หนึ่งในใจพันธมิตรทางธุรกิจ ศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ไม่ใช่เพียงแค่ทำหน้าที่ค้าขาย แต่ยังทำหน้าที่เป็นเวทีสร้างแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรมากมาย จับมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสร้างต้นแบบธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกันสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้าของพันธมิตรต่างๆ ตลอดมา

 

  • ที่หนึ่งของโลก เพราะศูนย์การค้าคือแม่เหล็กสำคัญที่เสริมสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เป็น Shopping Paradise ที่จะดึงดูดคนทั้งโลก สยามพิวรรธน์จึงมุ่งมั่นสร้างโครงการที่จะแข่งขันกับโครงการใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก เพื่อสร้างการยอมรับนับถือในวงการศูนย์การค้าโลก และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ทุกศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์จึงคว้ารางวัลที่หนึ่งจากองค์กรระดับโลกมากกว่า 40 รางวัลในสาขาต่างๆ

 

“เราไม่ได้มีศูนย์การค้าในหลายจังหวัดหรือทั่วประเทศ แต่เรามีเพียง 4 ศูนย์การค้า กับอีก 1 Luxury Outlet Mall ที่ล้วนได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นที่หนึ่งของโลกในสาขาต่างๆ จากองค์กรและสมาคมระดับโลกมากมาย เช่น ด้านนวัตกรรมและการออกแบบ การปฏิวัติวงการค้าปลีก ด้านการตลาดและสร้างประสบการณ์ระดับโลก การเป็นโครงการที่สนับสนุนธุรกิจรายย่อย SMEs ที่ดีที่สุด การเป็น Green Leadership การพัฒนาความยั่งยืน และการสร้างจุดหมายปลายทางที่เป็นที่ปรารถนามากที่สุดของคนทั่วโลก ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่าคนไทยสามารถทำได้ และในวันนี้ผู้พัฒนาศูนย์การค้าในประเทศต่างๆ อยากเดินทางมาเพื่อเรียนรู้จากเรา

 

“เป้าหมายในการทำธุรกิจของสยามพิวรรธน์มิใช่เพื่อเรื่องผลตอบแทนเท่านั้น แต่เราต้องสร้างมิตรภาพเหนือกาลเวลากับคู่ค้าและพันธมิตร รางวัลชีวิตของพนักงานของเราคือการที่ได้เป็นบ้านหลังที่สองของผู้คน ดูแลและเติมเต็มความปรารถนาและประสบการณ์ชีวิตให้แก่ลูกค้าอย่างดีที่สุดในทุกสถานการณ์ และเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความสำเร็จให้กับคู่ค้าและพันธมิตรด้วยกลยุทธ์ และพันธสัญญาทั้งสิ้นนี้ส่งผลให้ 7 ปีที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์สามารถสร้างยอดขายเติบโตขึ้น 5 เท่า บริษัทย่อยของเราเติบโตจาก 32 บริษัท ขึ้นมาเป็น 48 บริษัท ท่ามกลางวิกฤตโควิดเรายังสามารถเปิดธุรกิจใหม่ สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ซึ่งเป็น Luxury Outlet Mall แห่งแรกในประเทศไทยเมื่อกลางปี 2564 และพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่คือ ONESIAM SuperApp สำเร็จได้ภายใน 13 เดือน” ชฎาทิพกล่าว

 

ผู้บริหารสยามพิวรรธน์กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อ 10 ปีก่อน สยามพิวรรธน์ได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มการถูกดิสรัปต์จาก Digital Evolution จึงปรับกลยุทธ์ให้ทุกศูนย์การค้าสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่แตกต่างแต่โดนใจ สร้าง Emotional Engagement ด้วยกลยุทธ์ Emotional Marketing อีกทั้งได้เริ่มทำ Digital Transformation ภายในบริษัทต่อเนื่องมา และสร้าง Data Bank ข้อมูลทั้งหมดสำเร็จเมื่อต้นปี 2022 เมื่อเกิดวิกฤตโควิดจึงพร้อมที่จะรับมือและสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว 

 

จากนี้ไปสยามพิวรรธน์จะพลิกเกมใหม่ด้วยแนวคิด Rise Above and Beyond คือการสร้างกลยุทธ์ที่จะก้าวข้ามทุกความสำเร็จที่เคยทำได้ ก้าวข้ามทุกการเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ดี และท้ายสุดคือก้าวข้ามทุกความท้าทายให้ได้ 

 

“Above the Ocean Strategy ในแบบสยามพิวรรธน์ จะทำให้เราสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนกับทุกภาคส่วน ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกสู่สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำประเทศไทยสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีโลก” ชฎาทิพกล่าวทิ้งท้าย

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X