สำนักข่าว Reuters เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ พบว่า ส่วนใหญ่ประเมินให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เตรียมหั่นลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเหลืออีก 3 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ในเดือนที่แล้ว ซึ่งระบุว่า Fed มีแนวโน้มจะหั่นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งรวม 0.50% ในปี 2024
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องจำนวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เป็นการตอบสนองต่อรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์กันไว้ กระตุ้นให้เหล่าเทรดเดอร์ในตลาดฟิวเจอร์สหันมาเก็งกำไรดอกเบี้ยขาลงกันมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนอีกส่วนหนึ่งมองว่า การเทขายหุ้นอย่างหนักหน่วงในช่วงสั้นๆ หลังค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก
รายงานระบุว่า แม้เจ้าหน้าที่ Fed บางคนบอกเป็นนัยว่ากำลังจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ในการสำรวจของ Reuters ระหว่างวันที่ 14-19 สิงหาคมที่ผ่านมา กลับไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ซึ่งรวมถึงรายงานยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความอึด และขับเคลื่อนไปในทิศทางบวก แม้อัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลงก็ตาม ทำให้นักลงทุนในตลาดเทน้ำหนักถึง 70% ที่ Fed จะหั่นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนกันยายน
ทั้งนี้ 54% ของผู้ตอบแบบสอบถามจากทั้งหมด 101 คน ระบุว่า Fed จะหั่นอัตราดอกเบี้ยลงครั้งละ 0.25% ในการประชุม FOMC ในเดือนกันยายน พฤศจิกายน และธันวาคม ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ณ ช่วงสิ้นปี 2024 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระหว่าง 4.50-4.75%
ขณะเดียวกัน มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และผู้ตอบแบบสอบถามหนึ่งคนคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ 11 คนคาดว่า Fed มีโอกาสจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% หรือมากกว่านั้น
สำหรับเหตุผลหลักในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นเรื่องของเงินเฟ้อที่ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ได้เกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจอื่นๆ โดยผลสำรวจ Reuters คาดว่า อัตราการว่างงานน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.3% ในปัจจุบันจนถึงปี 2026 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าน่าจะผ่อนคลายลงเพียงเล็กน้อยในช่วงสองปีข้างหน้า
ขณะที่ปัจจัยชี้วัดเงินเฟ้อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), Core CPI, ดัชนีราคาค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคล และ Core PCE คาดว่าจะยังคงอยู่สูงกว่า 2% จนถึงปี 2026 เป็นอย่างน้อย
ทั้งนี้ โพลยังคาดว่า Fed หั่นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในแต่ละไตรมาสของปี 2025 โดยหั่นครั้งละ 0.25%
คาดทองคำพุ่งนำนิวไฮ รับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง
แนวโน้มที่ Fed เตรียมเดินหน้าเข้าสู่โหมดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งคาดหวังว่า ราคาทองคำในปีนี้จะพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดระลอกใหม่ โดยการคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ราคาสปอตทองคำเพิ่มทำนิวไฮที่ 2,508.14 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 สิงหาคม) ขณะที่ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า ราคาทองคำในตลาดล่วงหน้าของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 0.16% ทำสถิติสูงสุดระลอกใหม่ 2,540.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยราคาทองคำเมื่อวานนี้ (19 สิงหาคม) ยังเป็นการขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ (16 สิงหาคม)
Sabrin Chowdhury หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ที่ BMI ระบุว่า ปี 2024 เป็นปีที่ทองคำมีโอกาสพุ่งขึ้นหลายระดับ เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
Chowdhury อธิบายว่า ราคาทองคำเติบโตจากความไม่แน่นอน… [และ] ความไม่แน่นอนอยู่ที่จุดสูงสุด ซึ่งในปี 2024 มีสารพัดปัจจัยที่ส่งเสริมสนับสนุนความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน การเลือกตั้งทั่วไป โดยเฉพาะการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และความตึงเครียดที่ทวีความวิตกในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยมีชนวนจากอิหร่านและอิสราเอล
อีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันราคาทองคำแท่งคือ โอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น โดยการประชุม Fed ในเดือนกรกฎาคมช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นหัวข้อที่มีการพูดคุยอย่างจริงจังในการประชุมเดือนกันยายน
นักวิเคราะห์จาก BMI คาดว่า การที่ Fed หั่นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน จะส่งผลให้ราคาทองคำมีโอกาสพุ่งทะลุ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สอดคล้องกับความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์คนอื่นๆ ซึ่งมีทัศนคติเชิงบวกต่อราคาทองคำเช่นเดียวกัน
รายงานระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนโอกาสในการซื้อทองคำ ทำให้มีความน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มีดอกเบี้ย เช่น พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมีสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นเดียวกับทองคำ
นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงยังกดดันค่าเงินดอลลาร์ ทำให้ทองคำแท่งที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
ขณะที่นักวิเคราะห์ของ Citi แสดงความเห็นเมื่อวันจันทร์ (19 สิงหาคม) ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทองคำมีแนวโน้มที่จะฟื้นกลับมาในช่วงกรอบ 3-6 เดือนข้างหน้า และคาดว่าราคาทองคำมีโอกาสพุ่งแตะ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ภายในช่วงกลางปีหน้า ก่อนที่ราคาจะปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2025
ขณะนี้บรรดานักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาดูการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ Jackson Hole Meeting ในวันศุกร์ที่ (23 สิงหาคมนี้) ซึ่ง เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed น่าจะมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงแนวทางนโยบายการเงินของ Fed ในปี 2025 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
อ้างอิง: