หลังจากสตรีมแค่อีพีแรก Frankly Speaking ซีรีส์เกาหลีทาง Netflix ก็สร้างความฮือฮาในโซเชียลมีเดียของไทยด้วยบทที่ให้ ซงกีแบค ตัวละครหลักของเรื่องพูดชื่อเต็มของกรุงเทพมหานคร แต่นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความฮาในช่วง 10 นาทีแรกของเรื่อง ก่อนจะปล่อยสารพัดมุกฮาน้ำตาเล็ดแบบไม่ยั้ง จนกลายเป็นซีรีส์ทรงดีที่น่าติดตาม
Frankly Speaking เป็นเรื่องราวของ ซงกีแบค (โกคยองพโย) ผู้ประกาศข่าววัย 33 ปี ผู้มุ่งมั่นกับงาน และใฝ่ฝันจะกลายเป็นผู้ประกาศข่าวในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ให้ได้ ทำให้เขาต้องเก็บทรงและทำตัวเป๊ะตลอดเวลา หนำซ้ำเพื่อนร่วมงานและคนทั่วไปก็เข้าใจกันว่า เขามาจากครอบครัวฐานะดีและมีชีวิตสมบูรณ์แบบ
แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อผู้ประกาศข่าวร่วมของเขาก่อเรื่องจนทำให้กีแบคเสียหน้าและกลายเป็นมีมบนโลกโซเชียล เจ้านายจึงมีแผนให้เขาไปออกรายการวาไรตี้โชว์ของทางสถานี ผนวกกับบุคลิกของกีแบคไปเตะตา อนอูจู (คังฮันนา) คนเขียนบทประจำรายการก็มองเห็นคาแรกเตอร์บางอย่างที่มากกว่าความเป๊ะในตัวเขา
แต่ในระหว่างการถ่ายทำดันเกิดอุบัติเหตุ กีแบคถูกไฟฟ้าช็อตจนสลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาเขากลายเป็นคนปากตรงกับใจ และควบคุมอาการ ‘พูดตรงๆ’ ของตัวเองไม่ได้ ซึ่งสร้างความเสียหายปนความฮาให้กับหน้าที่การงานที่เขาทำอยู่ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับอนอูจูมากยิ่งขึ้น เพราะเธอคือคนที่อยู่ร่วมในอุบัติเหตุครั้งนั้น ชีวิตของซงกีแบคจะเป็นอย่างไร และเรื่องรักของทั้งคู่จะทั้งตลกและโรแมนติกแค่ไหนต้องติดตาม
ความน่าสนใจแรกของ Frankly Speaking คือ ตัวละครหลักอย่างซงกีแบคมีอาชีพเป็นผู้ประกาศข่าว ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็คือผู้ที่ต้องเล่าความจริงซึ่งก็คือข่าวให้สาธารณชนได้รับรู้ แต่นั่นก็หมายถึงต้องผ่านการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่ง ซึ่งอาการ ‘พูดตรงๆ’ เหมือนจะดีกับอาชีพนี้ แต่ถ้าหนักหนาถึงขนาดปากไม่มีหูรูดก็กลายเป็นวัตถุชั้นดีให้คนเขียนบทใส่มุกตลกลงไปได้แบบไม่ยั้ง
อีกส่วนคือการวางคาแรกเตอร์ของซงกีแบคให้เป็นคนจริงจังกับงาน และมีภาพผู้ประกาศข่าวที่ดีคือ ต้องมีมารยาท บุคลิกน่าเชื่อถือ ซึ่งคนลักษณะแบบนี้ เมื่อทำอะไรหลุดๆ ดีกรีความฮาก็จะมีมากกว่าคนอื่น อย่างที่เราได้เห็นกันทั้งในฉากที่ถูกสามีเพื่อนร่วมงานยำจนเละผ่านหน้าจอทีวี และฉากพระเอกนางเอกเจอกันครั้งแรกในลิฟต์ที่เล่นเอาฮาน้ำตาไหลเลยทีเดียว
ว่ากันตามตรง มุก ‘ปวดอุจจาระ’ ในสถานที่ไม่ถูกไม่ควรเป็นมุกที่ถูกใช้กันบ่อยๆ ในซีรีส์ตลก แต่ใน Frankly Speaking ต้องขอซูฮกในเรื่องของจังหวะและความสามารถทางการแสดงของทั้งโกคยองพโยและคังฮันนา โดยเฉพาะรายแรกที่เพิ่มดีกรีความฮาจากผลงานเรื่องก่อนหน้าอย่าง 6/45: Lucky Lotto กลายเป็นตลกหน้าตาย ยิ่งเมื่อรวมกับบุคลิกจริงจังของซงกีแบคในเรื่องและการบรรยายความแตกต่างระหว่างตดกับการผายลมตามหลักภาษาศาสตร์ก็ยิ่งตลก ส่วนคังฮันนาถือว่าเป็นการพลิกคาแรกเตอร์จนลืมภาพพี่สาวร้ายๆ ใน Start-Up ไปจนหมด กลายเป็นสาวน่ารัก เปิ่น โก๊ะ จริงจังกับงาน ที่สำคัญทั้งคู่เคมีเข้ากันแบบสุดๆ
การวางคาแรกเตอร์ให้กีแบคเป็นคนช่างคิดแต่รู้จักเก็บความรู้สึกยังช่วยให้ไดอะล็อกเมื่อเขาพูดทุกอย่างจากใจกลายเป็นการเสียดสีแสบๆ คันๆ และเหนือชั้นกว่า อย่างเช่นในฉากหนึ่งที่เพื่อนร่วมงานบอกว่า “นี่คือการหยาบคายแบบผู้ดี” หรือในฉากการประกาศรางวัลที่เหมือนการเสียดสีวงการบันเทิง ไม่เฉพาะแต่ของเกาหลีใต้ แต่ที่ไหนๆ ก็ออกมาเหมือนๆ กัน
นอกจากมุกตลกที่เชื่อขนมกินได้ Frankly Speaking ยังสะท้อนภาพมนุษย์งานในปัจจุบันที่ต้องเป็น ‘เดอะแบก’ ที่ดันไปพ้องกับชื่อของซงกีแบคไปซะอย่างนั้น ซึ่งสิ่งที่ต้องแบกมีตั้งแต่ความกดดันของหัวหน้างานที่ไม่รู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัว แบกงานของเพื่อนรุ่นพี่ที่ขยันโยนมาให้ แบกความคาดหวังของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งการทำตัวเป็นที่รักของคนทุกคนไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แต่ที่หนักที่สุดคือ การแบกความฝันและยอมเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง
ความสามารถของกีแบคเกิดขึ้นจากการทำงานหนักที่เราเห็นได้จากฉากท่องชื่อเต็มของกรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่ไม่มีในบท เพื่อสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองน่ายกย่อง แต่อีกด้านเขาก็สร้างภาพให้ตัวเองเป็นคนสมบูรณ์แบบ และยอมใช้ชีวิตอยู่กับการโกหกหลอกลวง เช่น การที่คนอื่นเข้าใจว่าเขาเป็นทายาทเศรษฐีก็ปล่อยให้เลยตามเลย เพราะมันดีกับหน้าที่การงานมากกว่า ดังนั้น นอกจากต้องเหนื่อยกับงานแล้วก็ต้องมาเหนื่อยกับการซ่อนตัวตนที่แท้จริงอีกต่างหาก
ความเป็นเดอะแบกของกีแบคยังหมายถึงการแบกภาระด้านครอบครัว อย่างที่เราได้เห็นเขากลับไปเยี่ยมบ้าน จึงได้รู้ฐานะที่แท้จริงของเขาและเข้าใจถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เขาต้องคอยหาเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แม้จะไม่พอใจ แต่ก็ปริปากบ่นไม่ได้สักคำ ความกดดันรอบด้านจึงระเบิดออกมาเป็นความผิดปกติหลายๆ อย่าง ทั้งทางร่างกาย เช่น อาการ IBS ท้องไส้ปั่นป่วนที่เกิดจากความเครียด หรือความเก็บกดทางอารมณ์แบบที่เขาไประบายในการเล่นดอดจ์บอลในรายการวาไรตี้จนกลายเป็นเรื่อง ซึ่งก็เหมือนจะมีแต่อูจูที่พอจะเข้าใจ และมองเห็นเนื้อแท้ของกีแบคอยู่บ้าง จนกลายเป็นเส้นเรื่องโรแมนติกที่คงจะได้ดูกันในตอนต่อๆ ไป
เอาเข้าจริง Frankly Speaking ก็แอบมีความตลกร้ายจากชีวิตมนุษย์งานในสังคมปัจจุบัน ซึ่งถ้าพูดตรงๆ จากใจแบบซงกีแบค อาจทำให้ใครหลายคนขำไม่ออกได้เหมือนกัน