โบยบินเหมือนผีเสื้อ แต่ต่อยเจ็บเหมือนแมงป่อง
“พี่ รู้ไหมสติงจะขึ้นปล้ำครั้งสุดท้ายแล้วนะ” เจ้าหนุ่มนักข่าวกีฬาผู้ติดตามวงการมวยปล้ำพอๆ กับการเกาะติดวงนักร้องไอดอลอย่างใกล้ชิดทักมาส่งข่าว ถึงการขึ้นเวทีครั้งสุดท้ายของหนึ่งในตำนานนักมวยปล้ำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
ด้วยความที่ห่างกันมานาน ผมถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า “สติงยังขึ้นเวทีไหวอีกเหรอ”
“ไหวพี่ แต่ที่ไม่ไหวคือผมเกิดไม่ทันยุคเขา พี่พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้ไหม”
ผมหยุดนิ่งชั่วขณะหนึ่ง พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“พอมี”
กล่องความทรงจำเก่าๆ ของผมถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง กับความหลังของนักมวยปล้ำขวัญใจ และเรื่องราวที่อยากส่งต่อไปก่อนถึงวันสุดท้ายในการทำหน้าที่บนสังเวียนของฮีโร่ผู้โบยบินเหมือนผีเสื้อ แต่ต่อยเจ็บเหมือนแมงป่องคนนี้
สำหรับเด็กๆ ที่เติบโตมากับการนั่งดูมวยปล้ำ แน่นอนว่ามีนักมวยปล้ำมากมายที่พร้อมจะเข้ามาอยู่ในใจของใครต่อใคร แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสถานะเป็น ‘ยอดขวัญใจ’ ของใครทุกคน
ในยุค 80 และ 90 คนที่ชอบดู WWF จะมีใครเกินไปกว่า ‘ฮัลค์ โฮแกน’ ฮีโร่ตลอดกาล ผู้จุดกระแสมวยปล้ำอาชีพให้กลายเป็นหนึ่งในความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลก ที่อาศัยดูเทปการแข่งขันจากวิดีโอในระบบ NHS (ขอบคุณวิดีโอสแควร์และร้านลุงหนวดที่ช่วยเติมจินตนาการให้เด็กๆ ในยุคนั้น)
แต่โฮแกนไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์คนเดียวในยุคนั้น เพราะอีกฟาก WCW ก็มี ‘สติง’ นักมวยปล้ำหนุ่มรูปหล่อที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยการเพนต์ลายบนใบหน้ากับกางเกงรัดรูปสีสันแสบตา ผู้เป็นตัวแทนของความดีงามบนสังเวียน
‘สติงเกอร์สแปลช’ และ ‘สกอร์เปียนเดธล็อก’ คือท่าไม้ตายของเขาที่เด็กๆ ต่างจดจำกันได้ในยุคนั้น เช่นเดียวกับการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่าง บิ๊ก แวน เวเดอร์ ที่เป็นการต่อสู้ในระดับ Epic ของยุคสมัย
ภาพจำของใครหลายคนคือ สติงจะถูกเล่นงานจนสะบักสะบอม แต่ด้วยบทที่ถูกกำหนดมาแล้ว ทำให้ส่วนใหญ่เขาก็จะเป็นฝ่ายที่คว้าชัยชนะไปได้ทุกที
เพราะความดีต้องเป็นฝ่ายชนะเสมอ – นี่คือสัจธรรมที่เราเรียนรู้โดยไม่รู้ตัวและไม่ตั้งใจ
แต่ก่อนจะมาถึงจุดที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ ชีวิตของสติงผ่านความลำบากยากเข็ญแบบหนักหนาสาหัส
และความจริงคือ เขาไม่ได้คิดฝันจะมาเป็นนักมวยปล้ำด้วยซ้ำไป
สติง – หรือ สตีฟ บอร์เดน – เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่เติบโตมาในยุคสมัยที่คนอเมริกันชอบเล่นเพาะกายตามแบบของ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ด้วยความหลงใหลในเรื่องนี้ ก็ทำให้บอร์เดนพยายามที่จะเล่นกล้าม รวมถึงได้มีโอกาสเป็นผู้จัดการยิมของพี่สาว
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในวันที่มีคนเดินเข้ามาถามเขาในฐานะผู้จัดการยิมว่า พอจะช่วยแปะใบปิดประชาสัมพันธ์ที่ยิมให้หน่อยได้ไหม
“ต้องการนักมวยปล้ำ” ข้อความบนประกาศเขียนสั้นๆ แต่ชัดเจน
บอร์เดนอ่านแล้วไม่เข้าใจ มวยปล้ำแบบไหน ไปแข่งโอลิมปิกอย่างนั้นหรือ? แต่ ริค เบสส์แมน ซึ่งกลายเป็นคนแรกที่ค้นพบสติง บอกว่า “ไม่ใช่ มันคือมวยปล้ำอาชีพ เรากำลังฟอร์มทีม 4 คน ผมจะฝึกคนเหล่านี้แล้วพาไปให้ถึง WWF”
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปด้วยความไม่เข้าใจของบอร์เดน เขาไม่รู้จริงๆ ว่า WWF คืออะไร แล้ว ‘ฮัลค์’ ที่เบสส์แมนบอกคืออะไร ยังคิดว่าหมายถึงหนุ่มผมบลอนด์ร่างใหญ่ที่แวะเข้ามาเล่นในยิมเป็นครั้งคราวด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี บอร์เดนอนุญาตให้ติดใบประกาศได้ในยิม แต่ปัญหาต่อมาคือ ไม่มีใครที่โทรหาเบสส์แมนเลยแม้แต่คนเดียว
แต่เมื่อเบสส์แมนลองมองดูแล้ว บอร์เดนก็พอมีแววจะปั้นได้
“เฮ้ นายอยากจะลองดูไหมล่ะ”
ถึงจะปฏิเสธไปในครั้งแรก “ไม่มีวันหรอก” แต่ไปๆ มาๆ บอร์เดนก็ตกลงที่จะเดินทางไปชมมวยปล้ำ WWF ร่วมกับเบสส์แมนและว่าที่สมาชิกเพื่อนร่วมทีมอีก 3 คน โดยที่ตัวเขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการหาอะไรสนุกๆ ทำ เพราะตัวเองก็ว่างและไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว เคยไปออดิชันเล่นหนังก็ได้แต่บทตัวประกอบในหนังต้นทุนต่ำ
แต่ในการไปดูมวยปล้ำครั้งแรกในชีวิต เบสส์แมนมีแผนใจในของเขาอยู่แล้ว
เขาเตรียมกางเกงรัดรูปสีนีออนสุดแสบเอาไว้ให้ทั้ง 4 คน เพื่อที่หวังว่าจะมีใครที่สังเกตเห็นหนุ่มกล้ามโต 4 คนในกางเกงรัดรูปสุดจี๊ดนั่งกินป๊อปคอร์นกับโค้กท่ามกลางผู้ชมที่เข้ามาดูฮัลค์ (ใช่ ฮัลค์ของเบสส์แมนนั่นแหละ) โฮแกน, อังเดร เดอะ ไจแอนท์, ไอรอน ชีค, บิ๊ก จอห์น สตัด
ถึงภาพและความทรงจำมันจะชวนให้ขำ แต่บอร์เดนรู้ตัวได้ในทันทีหลังจากที่เขาได้อยู่ในหมู่ผู้ชมที่ส่งเสียงเชียร์ โห่ร้อง ตะโกนด่าอย่างบ้าคลั่ง เหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
นี่คือรักแรกพบสำหรับเขา นี่คือสิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นระรัว และนี่คือเป้าหมายในชีวิตที่เขาตามหามานาน
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” บอร์เดนหันไปบอก ริค เบสส์แมน
“ตอนนี้นายอยากจะเป็นนักมวยปล้ำแล้วใช่ไหม?”
หลังจากนั้นชีวิตของบอร์เดนก็ไม่เหมือนเดิมอีกตลอดไป เขาเริ่มต้นฝึกฝนตัวเองในการเป็นนักมวยปล้ำ เพื่อเรียนรู้ทักษะและศาสตร์ของการเล่นที่ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการโชว์ลีลาที่สวยงามหรือความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของความปลอดภัย การช่วยเซฟทั้งตัวเองและคู่แข่งด้วย
บทเรียนในช่วงเวลานั้นไม่ง่าย และทำให้มีหนึ่งในสมาชิกของเบสส์แมนถอนตัว แต่สายลมก็ได้พัดพา จิม เฮลล์วิก ชายหนุ่มร่างยักษ์จากแอตแลนตาซึ่งสูงถึง 6 ฟุต 3 นิ้ว และหนัก 280 ปอนด์ รวมทั้งยังเป็นนักศึกษาการจัดกระดูก
เฮลล์วิกเป็นคนที่ตลกมาก เพราะแม้จะดูน่ากลัว แต่จะเปลี่ยนบุคลิกได้ทันทีเมื่ออยู่กับบลูเบอร์รี สุนัขที่เขาพาไปด้วยทุกที่ โดยที่เวลาเล่นกับบลูเบอร์รี พ่อหนุ่มกล้ามใหญ่คนนี้จะพูดเสียงสองใส่ชนิดที่ขัดกับรูปร่างภายนอกสุดๆ
และเฮลล์วิกเสียงสองคนนี้เองที่ในเวลาต่อมาคือ ‘ดิ อัลทิเมท วอร์ริเออร์ส’ หนึ่งในสุดยอดนักมวยปล้ำที่แฟนๆ รักมากที่สุดคนหนึ่ง
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บอร์เดนและเฮลล์วิกต้องต่อสู้อย่างหนัก เพราะวงการมวยปล้ำในยุคนั้นยังเป็นเหมือนการแสดงที่จัดโชว์ตามรัฐต่างๆ พวกเขาต้องขับรถเดินทางไปทั่วประเทศ ขอโอกาสให้ได้ขึ้นปล้ำโชว์ตามเวทีต่างๆ เพื่อแลกกับค่าตอบแทนที่บางครั้งอาจได้แค่อาหารประทังชีวิต หรือบางวันที่ไม่มีจริงๆ ก็ต้องแอบขโมยของมากิน (ซึ่งเป็นสิ่งที่บอร์เดนยังเสียใจอยู่)
ทั้งสองจับคู่กันในนาม ‘เดอะเบลดรันเนอร์ส’ อยู่พักใหญ่ บอร์เดนเลือกใช้ชื่อบนสังเวียนว่า ‘แฟลช’ ส่วนเฮลล์วิกเลือก ‘จัสติส’ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จหรือโด่งดังมากมายอะไรนัก ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันเดินตามเส้นทางของตัวเอง
บอร์เดน – ซึ่งเลือกเปลี่ยนชื่อใหม่ของตัวเองเป็น ‘สติง’ หลังจากนั้น – เริ่มไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เขาต้องออกเดินทางตลอดเวลา แทบไม่ได้เจอกับคนรักของตัวเอง บ่อยครั้งที่ต้องนอนในรถ หลายวันที่ต้องทนหิวโหย
แต่แล้ววันหนึ่งคนรักของเขา ซึ่งขณะนั้นหมั้นหมายกันแล้ว ก็เดินทางจากแคลิฟอร์เนียเพื่อมาเยี่ยม โดยที่บอร์เดนขับรถบนทางหลวงและมองเห็นป้ายบอกทางบนถนน
‘ทางออก’
ป้ายนั้นทำให้เขาเปิดใจกับแฟนสาวถึงความทุกข์ยากในช่วงเวลาที่ผ่านมา เงินทองไม่มี ชื่อเสียงคืออะไร แบบนี้เราขับรถกลับบ้านที่แคลิฟอร์เนียกันดีไหม แล้วไปเริ่มใหม่อีกครั้ง
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาจากแฟนสาวที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรของมวยปล้ำเลยกลับบอกว่า “ฉันก็ไม่รู้นะ แต่ทุกครั้งที่เห็นคุณบนเวที เวลาที่คุณร้องตะโกน “วู้!” ออกมา ฉันเห็นคนดูก็ตะโกน “วู้!” กลับให้คุณ โดยเฉพาะเด็กๆ”
“ฉันว่าคุณเข้าใกล้มันแล้ว คุณแต่ต้องพยายามต่อไปก่อน”
มันทำให้บอร์เดนที่กำลังสั่นคลอนได้สติ
และสติงที่แท้จริงก็ถือกำเนิดขึ้นในวันนั้นเอง
ทุกอย่างเป็นไปดังคำพูดของคู่หมั้นของเขา สติงได้โอกาสแจ้งเกิดที่เหลือเชื่อ เมื่อ ‘ดิอเมริกันดรีม’ ดัสตี โรดส์ ให้โอกาสเขาได้ลองขึ้นเวทีกับ ริค แฟลร์ นักมวยปล้ำยอดขวัญใจของแฟนๆ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าจะมีโอกาสขึ้นปล้ำกับ ‘เดอะเนเจอร์บอย’ หนึ่งเดียวคนนี้
การขึ้นปล้ำครั้งนั้นเป็นไปอย่างสนุก ดุเดือด และเร้าใจ ความทนทายาดทำให้ทั้งคู่ไม่มีใครเอาชนะใครได้และจบลงด้วยการเสมอกัน แต่ผู้ชนะที่แท้จริงในวันนั้นคือสติง ซึ่งได้ยกระดับสถานะตัวเองจากดาวรุ่งที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นสตาร์
อีกทั้งเขายังได้เรียนรู้จากเวลา 45 นาทีที่ได้ขึ้นปล้ำกับแฟลร์ในรายการ ‘Clash of the Champions’ ในปี 1988 ด้วยว่า หากคิดที่จะเป็นของจริง ไม่ใช่แค่การเล่นตามบท แต่ต้องเป็น ‘ตัวละคร’ จริงๆ ทั้งอยู่บนเวทีหรืออยู่นอกเวที
จนเมื่อเกิด WCW สติงได้กลายเป็น ‘The Francise’ หรือเป็นเบอร์หนึ่งของค่ายในเวลานั้น ด้วยบุคลิกของนักมวยปล้ำที่กล้าหาญ คล่องแคล่ว และไม่หวั่นเกรงใคร อีกทั้งยังปล้ำสนุก มีท่าไม้ตายที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้ง ‘สติงเกอร์สแปลช’ ที่ชาร์จอัดคู่ต่อสู้กับเสา และท่าไม้ตายสุดยอด ‘สกอร์เปียนเดธล็อก’ ที่งัดมาเมื่อไรหมายถึงตอนจบ
สติงกลายเป็นดาวจรัสแสง ชื่อเสียงของเขาไปไกลทั่วโลก แม้แต่ ‘สติง’ นักร้องนำของวง The Police ยังเชิญมาชมการแสดงคอนเสิร์ต เพื่อขอโอกาสในการทักทายกัน หลังจากที่เห็นโปสเตอร์ของสติงในห้องนอนของลูกชายแล้วสงสัยว่า “สติงอีกคนนี่มันใครนะ”
เพียงแต่ในวงการมวยปล้ำนั้นน้อยคนจะได้เล่นบทเดิมบทเดียวตลอดกาล สติงก็เช่นกัน WCW มีการเปลี่ยนแปลงบทบาทและภาพลักษณ์ของเขาให้ดุดันขึ้น ก้าวร้าว และเป็นตัวร้าย (แต่ก็ร้ายไม่สุด)
ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งสติงก็พยายามใช้ชีวิตในบทบาทของคุณพ่อบอร์เดนไปด้วย โดยทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเสร็จเขาจะรีบเดินทางกลับบ้านเพื่อจะเล่นกับลูกชายทั้งสองคนเสมอ โดยที่พยายามที่จะปิดบังไม่ให้ลูกรู้ว่าเขาเป็นอะไร (ทำให้ลูกชายทั้งสองก็สงสัยว่าทำไมพ่อคนอื่นถึงไม่มีตุ๊กตานักมวยปล้ำเป็นของตัวเอง)
การแบกทั้งบทบาทของการเป็นสตาร์ในวงการมวยปล้ำและการพยายามใช้ชีวิตปกติเยี่ยงคุณพ่อคนหนึ่ง เป็นน้ำหนักที่มากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว สติงเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ นอนไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับนักกีฬาที่ใช้ร่างกายอย่างหนัก
อาการนี้มาถึงในจุดที่เขาเริ่มอ่อนล้าและพยายามหาตัวช่วย โดยที่ตัวช่วยคือ ‘ยาแก้ปวด’ ซึ่งในยุคนั้นวางขายกันเกลื่อนกลาดไปหมด ผู้คนไม่ได้ใช้เพียงแค่ระงับการปวด แต่ยังใช้เพื่อการนอนหลับให้ได้บนเครื่องบิน หรือแม้แต่กินเพื่อความสุข แม้จะรู้ว่าเป็นผลร้ายต่อร่างกายก็ตาม
สติงที่อดนอนมาเป็นแรมเดือนจนทนไม่ไหวคิดว่า “จะเป็นไรไปแค่เม็ดเดียว”
ยาแก้ปวดหนึ่งเม็ดกับเบียร์สองกระป๋องช่วยให้เขาผ่านคืนนั้นไปได้ด้วยการหลับสนิทเหมือนทารก แต่นั่นเป็นการเปิดประตูสู่นรกเหมือนกัน
เขาติดยาแก้ปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ และได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาเกินขนาด สมองเริ่มเจ็บปวดอย่างไม่รู้สาเหตุ และนั่นหมายถึงการต้องเพิ่มยามากขึ้น
ยาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเขาอย่างสาหัส ถึงขั้นในวันที่สติงขึ้นเวที มีแฟนคนหนึ่งทักขึ้นมาว่า “ดวงตาของคุณ คุณรู้วิธีการบอกเล่าเรื่องราวด้วยดวงตาสินะ”
สำหรับสติงมันเป็นเหมือนการเตือนสติอย่างแรง เพราะแม้บทบาทจะทำให้เขาดูเป็นคนเก็บตัว พูดน้อยลง และมีแววตาที่เศร้าสร้อยเหมือน The Crow แต่ในความเป็นจริงแล้วดวงตานั้นไม่ได้สร้างเรื่องราว แต่มันคือชีวิตจริงที่แสนเศร้าของนักมวยปล้ำในระดับซูเปอร์สตาร์
เขารู้ตัวแล้วว่าเขากำลังหลงทาง แต่เขามองหาทางออกไม่พบ
สติงได้แต่เพียงขึ้นเวที กลับมากินยาแก้ปวดกับเบียร์แล้วพยายามหลับให้ได้ โดยไม่รู้จะหาทางออกจากวังวนที่มืดมนอนธการนี้ได้อย่างไร
จนวันหนึ่งคนที่พาสติงกลับมาได้อีกครั้งคือคนรักของเขา ที่ตัดสินใจปิดประตูห้องนอนหลังลูกทั้งสองคนนอนหลับแล้ว เพื่อถามไถ่ว่ามีอะไรผิดปกติในชีวิตหรือไม่ เพราะเธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ
เขาสารภาพทุกอย่าง และทั้งสองคนก็แตกสลายไปพร้อมกันในวันนั้น
คนเดียวที่เขาคิดออกและร้องขอความช่วยเหลือคือพระเจ้า โดยที่หลังจากนั้นสติงเดินทางไปสารภาพบาปที่โบสถ์ ก่อนจะได้เห็นคำ 6 คำบนคัมภีร์ไบเบิล
‘ความจริงจะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ’
นับตั้งแต่วันนั้นสติงอุทิศชีวิตให้ศาสนา โดยไม่ได้สนใจว่าใครจะมองว่าเขาถูกล้างสมองหรือไม่ เพราะสำหรับตัวเขาแล้ว เขาได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมาและรักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้
เขาหย่าขาดกับยาแก้ปวดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา และไม่ยอมแพ้ต่อผลข้างเคียงและแรงเย้ายวนของยานรกอีก
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ในช่วงที่ชื่อเสียงของสติงยังอยู่ในระดับสูงของวงการมวยปล้ำ และมันคือสิ่งที่ทำให้เขายังก้าวเดินต่อไป
จนถึงวันนี้ในวัย 64 ปีที่กำลังจะได้โอกาสขึ้นปล้ำเป็นครั้งสุดท้าย
และแน่นอนการเปิดตัวของเขาเร้าใจเหมือนเดิม
สติงเริ่มต้นการเปิดตัวแบบผาดโผนในปี 1997 แต่ไม่มีครั้งไหนจะเร้าใจเท่ากับรายการ Nitro เวอร์ชันพิเศษในปี 1998 ที่ชายหาดปานามา ซึ่งจัดแสดงแบบเอาต์ดอร์ที่ชายหาดโดยไม่มีเสาหรืออะไรให้สติงปีนอีก โดยที่รายการในวันนั้นจุดขายคือ “ไม่มีทางหรอกที่สติงจะโผล่มาได้”
แล้วจู่ๆ ก็มีสายลมพัดโหมอย่างแรงจนคนบนเวทีอย่าง ฮัลค์ โฮแกน หรือคนข้างล่างเวทีอย่าง เอริค บิชอฟฟ์ แทบทรงตัวไม่ไหว ที่มาของสายลมคือใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ที่พาสติงมา ก่อนที่จะโรยตัวเองลงมาจากฟากฟ้า ท่ามกลางสายตาของผู้ชมนับหมื่นคนในวันนั้น
“นั่นนกเหรอ นั่นเครื่องบินเหรอ”
“นั่นมันสติงงงงงงงงง!”
เหตุการณ์นี้สำหรับสติงแล้วเป็นหนึ่งในสุดยอดความทรงจำที่เขาไม่มีวันลืม เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตจริง ที่แสดงให้ทุกคนเห็นโดยไม่ได้ใช้สตันท์แมนและไม่ได้ใช้ CG ช่วย มันคือสติงตัวจริงเสียงจริงที่เสี่ยงชีวิตเพื่อเล่นบทบาทของเขาให้เต็มที่ที่สุด
เขาทำแบบนี้มาตลอด ไม่ว่าจะได้รับบทบาทแบบไหนก็ตาม แม้แต่ในช่วงเวลาที่ชีวิตดำดิ่งสู่ความมืดมิด และไม่ว่าจะกับค่ายไหนก็ตามทั้ง CWA, UWF, WCW, NWA, TNA, WWE และ AEW
แต่ในคราวนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับสติง ผู้ผ่านอะไรมามากมายเหลือเกินตลอด 39 ปีในชีวิตการเป็นนักมวยปล้ำของเขา
ความจริงนี่ไม่ใช่การบอกลาครั้งแรก แต่เป็นการบอกลาครั้งที่ 3 ในชีวิตหลังจากที่เคยประกาศอำลาวงการไปครั้งแรกในปี 2002 ก่อนที่จะกลับมาแข่งในรายการของ TNA ในปีถัดมา และอีกครั้งที่ต้องอำลาเกิดขึ้นในปี 2015 กับสมาคม WWE เพราะได้รับบาดเจ็บที่คออย่างสาหัส แต่เขาก็กลับมาอีกครั้งภายใต้แบรนด์ All Elite Wrestling (AEW) ในปี 2020
เพียงแต่ครั้งนี้สติงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกลาสักทีในวัย 64 ปี แม้ว่าเขาจะยังดูแข็งแรงแบบไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังเล่นบทโลดโผนเร้าใจยิ่งกว่าช่วงใดในชีวิตการเป็นนักมวยปล้ำ แต่ไม่มีใครรู้จักตัวของเขาดีเท่ากับตัวเองอีกแล้ว
ความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า มันบอกว่าเขาควรจะถึงเวลาพอได้แล้ว
4 ปีที่แล้วสติงปรากฏตัวในค่าย AEW ซึ่งเดิมความตั้งใจคือจะให้เขาปล้ำโชว์แบบอัดเทปบันทึกไว้ให้เหมือนกับดูหนังเรื่องหนึ่ง เพราะผู้จัดอย่าง โทนี ข่าน ซึ่งเป็นลูกชายของ ชาฮิด ข่าน เจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลแจ็คสันวิลล์ จากัวร์ส ไม่คิดว่าด้วยวัยของเขาสติงจะปล้ำสดไหว
แต่ปรากฏว่าร่างกายของสติงยังแข็งแกร่ง เคมีการจับคู่กันระหว่างเขากับ ดาร์บี อัลลิน ผู้รู้สึกเหมือนฝัน เพราะได้จับคู่กับซูเปอร์ฮีโร่ในดวงใจตลอดกาล ก็เข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ และนั่นทำให้สุดท้ายสติงยังคงได้ขึ้นเวทีอย่างต่อเนื่อง
จากการขึ้นเวทีครั้งแรกจนถึงตอนนี้สติงจับคู่กับอัลลินไปแล้ว 27 ครั้ง โดยที่ปล้ำจริงเล่นใหญ่ตลอด ไม่ได้จะมาวางมาดซูเปอร์สตาร์แล้วรอใช้ท่าไม้ตายจัดการคู่แข่งอย่างเดียว เขาทำแม้กระทั่งการโชว์ผาดโผนขึ้นไปกระโดดลงมาใส่คู่แข่งบนโต๊ะนอกเวทีจากความสูง 20 ฟุต
ภาพที่เห็นแม้แต่ลูกชายทั้งสองก็ต้องแทบหัวใจจะวาย
อย่างไรก็ดี สำหรับสติงมันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะทำแบบนี้ และเขาจะทำอย่างแน่นอนในการขึ้นเวทีครั้งสุดท้าย
เพราะหนึ่งในบทเรียนที่เขาได้จาก ริค แฟลร์ คือ เวลาขึ้นเวทีขอให้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีทั้งตัวและหัวใจ
เพราะยิ่งให้ผู้ชมมากเท่าไร เราจะได้รับกลับคืนมาเป็นสิบเท่า
ตอนนี้มาถึงวันที่เขาจะได้เลือกการปิดฉากตำนานของตัวเองลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่นักมวยปล้ำคนหนึ่งจะมีได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ลาจากเวทีไปในแบบที่ตัวเองต้องการ
สติงกับอัลลิน เด็กน้อยที่เขาชุบเลี้ยงและถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้มาเป็นอย่างดี จะป้องกันแชมป์แท็กทีมของ AEW กับคู่ที่ดีที่สุดคู่หนึ่งของยุคสมัยอย่าง ‘พี่น้องแจ็คสัน’ แมทธิว และ นิโคลัส แจ็คสัน (อดคิดถึงพี่น้องสไตเนอร์ขึ้นมาไม่ได้)
นี่คือการบอกรักและบอกลาจากฮีโร่ในดวงใจของแฟนๆ มวยปล้ำมากมายทั่วโลกตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา แล้วเขาจะไม่ต้องทาหน้าขึ้นเวทีอีกต่อไป
ไม่ว่าคุณจะเคยได้ดูสติงในบทบาทไหน หรือจดจำเขาได้ในแบบไหน
โปรดเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ข้างตัว และส่งเสียงเชียร์ให้สนั่นไปเลยเหล่า ‘สติงเกอร์’ ทั้งหลาย!
สำหรับโชว์มวยปล้ำ AEW: Revolution 2024 ที่มีไฮไลต์ของรายการเป็นแมตช์ส่งท้ายของสติง แฟนมวยปล้ำที่สนใจรับชม สามารถสมัครสมาชิกรายเดือนหรือซื้อแพ็กเกจกับทาง trillertv.com เพื่อรับชมการแข่งขันที่จะออกอากาศในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2024 เวลา 08.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
อ้างอิง: