หากถามว่า ‘ประเทศไทย’ สำคัญแค่ไหนต่อแบรนด์ผู้นำด้านความงามอย่าง SHISEIDO คำตอบทั้งหมดได้ถูกสรุปรวมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ ลานพาร์ค พารากอน
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของ SHISEIDO และตลาดสกินแคร์ประเทศไทย เพราะเป็นวันที่ไทยได้เปิดประตูต้อนรับทีมผู้บริหาร พร้อมกับเหล่าตัวแทนความงามจาก SHISEIDO อาทิ อีซองคยอง จากเกาหลีใต้ และ อลิซ โค จากไต้หวัน เดินทางมาเยือนในโอกาสจัดงาน ‘Journey of Potential’ งานอีเวนต์สเกลใหญ่ที่สุดระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเหตุผลสำคัญประการต้นๆ ที่ SHISEIDO เลือกประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการจัดงานสเกลยักษ์ครั้งนี้มาจากการที่เรามองว่าตลาดประเทศไทยมีความสำคัญต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก (SHISEIDO ครองตำแหน่งผู้นำตลาดสกินแคร์ในไทยเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง ไทยจึงเป็นหนึ่งในสังเวียนที่ SHISEIDO เลือกที่จะให้ความสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย)
ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ยังพิสูจน์ได้จากการที่ตลาดประเทศไทยมี Friends of SHISEIDO มากถึงสองคนอีกด้วย นั่นคือ วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร และ วี-วิโอเลต วอเทียร์
เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ความสำคัญของตลาดประเทศไทยผ่านมิติการมองและเลนส์ของแบรนด์ พูดคุยถึงเทรนด์ Aging Prevention ในแง่มุมความงามที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งใน Hub สำคัญที่กำลังเฟื่องฟูจนถึงขีดสุด และเหตุผลที่เลือก วิน เมธวิน ให้เป็น Friends of SHISEIDO มาอย่างต่อเนื่อง THE STANDARD จึงถือโอกาสสำคัญนี้ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและทรรศนะจาก “Echo Lo”, Deputy CBO แบรนด์ SHISEIDO เพื่อตอบทุกคำถาม ทุกข้อสงสัย
พลิกสมการใหม่เมื่อ ‘Aging = Empowerment’ และการดูแลผิวหน้าที่ดี ป้องกันการชะลอวัยแบบได้ผลต้องทำทั้งหัตถการและหมั่นใช้ ‘สกินแคร์’
เราเริ่มต้นถามคำถามคุณ Echo ด้วยเหตุผลที่ว่า เราอยากเข้าใจมุมมองและทัศนคติที่ผู้บริหารแบรนด์ด้านความงามระดับโลกผู้นี้มีต่อเทรนด์ด้านการชะลอวัย (Aging Prevention) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมและถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ตลอดจนการทำหัตถการด้านความงามที่แบรนด์สกินแคร์ในกรอบขนบเดิมๆ อาจไม่อยากกล่าวถึง เพราะเปรียบเสมือนคู่แข่งโดยตรง ตรงข้ามกับคุณ Echo ที่เลือกจะตอบคำถามของเราด้วยท่าทีที่ต่างออกไปและน่าสนใจเป็นอย่างมาก
“ในมุมมองความเห็นของฉันและ SHISEIDO เรามองนิยามของ Aging ว่าเปรียบเสมือนการสร้างพลังหรือ Empowerment ให้กับผู้คน และมนุษย์เราทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตเดินหน้าไปในทุกๆ วัน ดังนั้น Aging จึงไม่ใช่มุมมองในแง่ลบเลยแม้แต่น้อย ที่ SHISEIDO เชื่อว่า Aging Prevention (การชะลอวัย) คือการ Empower ผู้คน เป็นเพราะว่าพวกเราพยายามที่จะส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้คนทุกคนได้สนุกสนาน เพลิดเพลิน และใจฟูไปกับทุกๆ ช่วงเวลาในชีวิตของพวกเขาหรือเธอ ไม่ว่าพวกเขาหรือเธอจะอยู่ในช่วงชีวิตใดของตัวเองก็ตาม ทุกคนควรจะได้ลองออกไปทำอะไรใหม่ๆ ออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ ออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
“ในแง่จิตใจ (Mentality) SHISEIDO ก็มุ่งมั่นที่จะ Empower ผู้หญิงทุกๆ คนทั่วโลก หรือแม้แต่ Anne Hathaway ในฐานะ Global Ambassador ของแบรนด์ ให้ใช้ชีวิตตามแนวคิดที่เรียกว่า Potential Has No Age หรือทุกความเป็นไปได้ เป็นไปได้เสมอ เช่นเดียวกัน หากมองกลับไปยังบริบทของการดูแลสุขภาพผิวหน้า ความงาม SHISEIDO เชื่อเสมอว่าหากคุณรักคุณที่เป็นคุณในตอนนี้ คุณย่อมต้องดูแลผิวหน้าผิวกายของคุณให้ดีอยู่เสมอเพื่ออนาคตของคุณเอง
“เหตุผลที่ฉันกล่าวถึงคำว่า Empowerment อยู่บ่อยๆ ก็เพราะว่า Shiseido เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนธุรกิจหลักด้วย ‘ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์’ แบรนด์ของเราจึงมุ่งมั่นในการผสมผสานเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในการส่งต่อโซลูชันต่างๆ ให้กับผู้บริโภคและลูกค้าของเราอยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับ ‘เทคโนโลยีของการชะลอวัย (Anti Aging Technology)’ ที่ SHISEIDO ได้มุ่งมั่นในการศึกษาเรื่องนี้แบบลงลึกมานานกว่า 30 ปี”
ก่อนจะเล่าต่อ คุณ Echo ที่เครื่องเริ่มติดได้เอ่ยปากถามหาปากกาและกระดาษกับทีมงานที่อยู่ในห้องสัมภาษณ์ร่วมกันกับเรา พลางเอ่ยปากถามถึงความเข้าใจที่เรามีต่อโครงสร้างเบื้องต้นของผิวหนังมนุษย์
“แน่นอนครับ” คือคำตอบที่เราตอบกลับไป เนื่องด้วยช่วงเวลาในวัยเยาว์ ผู้เขียนเป็นผู้บริโภคอีกหนึ่งคนที่เดินเข้าออกคลินิกผิวหนังเพื่อดูแลใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวผดอยู่ประจำ จึงพอมีความรู้ติดตัวมาบ้าง
หลังได้อาวุธที่ถามหาสมใจคุณ Echo ก็บรรจงวาดภาพโครงสร้างและชั้นของผิวหนังแบบเข้าใจโดยง่ายให้เราเห็นบนแผ่นกระดาษ A4 ด้วยหมึกปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน พร้อมชี้ไปยังแต่ละจุด ไล่ตั้งแต่ผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ก่อนจะลงลึกไปยังบริเวณไขมันใต้ชั้นผิว (Fat) ซึ่งคุณ Echo อธิบายให้เราฟังว่าไขมันในส่วนใต้ผิวหนังนี่แหละคือองค์ประกอบที่เลิศที่ช่วยสนับสนุนผิวหนังของเรา แล้วค่อยๆ ร่ายไปถึงองค์ประกอบอย่างคอลลาเจน
คุณ Echo เล่าต่อพลางหยิบผลิตภัณฑ์ Night Serum ของ SHISEIDO มายกตัวอย่างเทียบเคียงให้เราเข้าใจถึงหลักการของเทคโนโลยีของการชะลอวัยที่ SHISEIDO เชี่ยวชาญมากขึ้น โดยกล่าวถึงคุณสมบัติเด่น 4 ประการของผลิตภัณฑ์นี้
“ประการแรก เมื่อเราอายุมากขึ้น มัดกล้ามเนื้อใต้ชั้นผิวหนังที่เดิมทีเคยทำหน้าที่สนับสนุน ค้ำชูให้ผิวหนังเต่งตึงก็เริ่มอ่อนตัวลง อ่อนแอลง ดังนั้นเทคโนโลยีแรกของเซรั่มดังกล่าวคือการพุ่งตัวเข้าไปช่วยให้กล้ามเนื้อในชั้นผิวหนังของเราไม่อ่อนยวบลง ประการถัดมา เมื่อเราอายุมากขึ้น ไขมันใต้ชั้นผิวหนังก็จะเกิดรูพรุนและผลที่ตามมาคือทำให้ชั้นผิวหนังยวบย้วยลง เทคโนโลยีที่สองที่ได้จากสารสกัดน้ำมันโรสแมรี (Rosemary Oil) คือการเข้าไปช่วยคงสภาพชั้นไขมันเหล่านั้น กระตุ้นให้เกิดการสร้างใหม่ เพื่อให้ไขมันเหล่านั้นยังคงตัว แข็งแรงดังเดิม และช่วยให้ผิวหนังยังเต่งตึง ซึ่งวิทยาการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิทยาการดูแลและบำรุงผิวเชิงลึกแทบทั้งสิ้น
“ประการที่สาม ในส่วนของคอลลาเจน เทคโนโลยีในเซรั่มของเราได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เข้าไปกระตุ้นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) เพื่อให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในปริมาณที่มากพอ ประการสุดท้ายหรือเทคโนโลยีลำดับที่ 4 คือการเข้าไปช่วยส่งเสริมให้กล้ามเนื้อระหว่างชั้นผิวหนัง (Bridging Muscles) มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็มีส่วนในการส่งผลต่อความเหี่ยวของชั้นผิวหนัง”
ทั้งหมดที่เราเล่าให้ฟังอาจจะฟังดูแล้วเหมือนจะยาก แต่ถ้าคุณได้เห็นลีลาการจรดปากกาของคุณ Echo ลงบนกระดาษแล้วอธิบายให้เราฟังเหมือนคุณครูสอนหนังสือแล้วล่ะก็ เชื่อว่าคุณจะต้องฟังด้วยความเพลิดเพลินแถมยังถูกป้ายยาผลิตภัณฑ์ของ SHISEIDO ได้แบบไม่รู้ตัวแน่นอน
“ถ้าถามฉันแล้ว ฉันเชื่อว่าเทคโนโลยี วิทยาการ นวัตกรรม จะรวบตึงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญท่ามกลางเทรนด์เรื่อง Aging Prevention ที่กำลังได้รับความสนใจอยู่ ณ ขณะนี้
“อีกประเด็นหนึ่งที่ฉันอยากกล่าวถึงก็คือ ตั้งแต่ที่ฉันเดินทางมาถึงประเทศไทย นับตั้งแต่ที่เครื่องลงจอดยังสนามบินสุวรรณภูมิแล้วเดินทางมายังกรุงเทพฯ ฉันพบว่าไทยเป็นประเทศที่มีคลินิกเสริมความงามเป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการฉีดกระตุ้นด้วยสารต่างๆ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ และในมุมมองความเห็นของฉัน ฉันเชื่อว่าการทำหัตถการด้านความงามและการบำรุงผิวด้วยสกินแคร์ ทั้งสองอย่างนี้จะต้องทำควบคู่ไปด้วยกันแบบ Co-Lift
“เหตุผลก็เพราะจริงอยู่ที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ด้วยหัตถการรูปแบบต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเทรนด์ความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค แต่ข้อเท็จจริงยิ่งกว่านั้นคือคุณไม่สามารถฉีดกระตุ้นสารต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ทุกวัน ที่สุดแล้วฉันจึงเชื่อว่าวิธีการที่ดีที่สุดในแง่ของการชะลอวัยคือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของ SHISEIDO ที่อุดมไปด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ควบคู่ไปกับการทำหัตถการเสริมความงามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเอง”
ความท้าทายของการทำธุรกิจหลังยุคโควิดคือการวางทุก Touchpoint ให้เชื่อมโยงกับลูกค้าได้อย่างมีความหมาย พร้อมส่งต่อความน่าเชื่อถือจากแก่นแท้แบรนด์ เราถามคุณ Echo ต่อว่าในเมื่อหัตถการถูกวางบทบาทให้เป็น Co-Lift ควบคู่กับการใช้สกินแคร์เพื่อดูแลผิวหน้าตามมุมมองของเธอ เช่นนั้นแล้ว SHISEIDO มองว่า ‘อุปสรรคและความท้าทาย’ ที่แบรนด์ต้องเผชิญคือเรื่องใดกันแน่?
“ในมุมมองของฉันและ SHISEIDO เราจะพยายามมองทุกๆ ความท้าทาย ทุกความเสี่ยงที่แบรนด์ต้องเผชิญเป็นเหมือน ‘โอกาส’ ใหม่ๆ อยู่เสมอ ตัวอย่างที่ฉันอยากกล่าวถึงก็คือโควิดได้สร้าง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ให้เกิดขึ้นในทุกๆ มิติในระดับที่ยิ่งกว่าความเร็ว ผลที่ตามมาคือการใช้ชีวิตที่ต้องเร่งรีบตามไปด้วย ทุกๆ แอ็กชัน ทุกๆ การกระทำจึงมุ่งเน้นไปที่การต้องบีบอัดระหว่างทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ทันใจที่สุด โดยเฉพาะในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมความงาม
“อย่างไรก็ดี หากเราไปถามผู้บริโภคทุกคน ฉันเชื่อว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการแค่ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการได้ทันท่วงทีเท่านั้น เพราะพวกเขายังต้องการความน่าเชื่อถือ (Authenticity) ความเข้าถึงแก่นแท้ (Essential) ตลอดจนถึงความไว้วางใจได้ (Reliable) ของสิ่งต่างๆ ด้วย
“ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมความงามของญี่ปุ่นมีความถนัดและเชี่ยวชาญแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะ SHISEIDO ที่พวกเราใส่ใจกับความน่าเชื่อถือของคุณภาพสินค้าและบริการ ไปจนถึงความงามแบบองค์รวม (Holistic) ทั้งยังมีความจริงใจในการรังสรรค์นวัตกรรมด้านความงามและส่งต่อถึงมือผู้บริโภค”
คุณ Echo อธิบายต่อว่าเหตุผลที่เธอเลือกใช้คำว่า Holistic ก็เพราะว่าแบรนด์ SHISEIDO เชื่อในมุมมองที่ว่า ‘ความสวยงาม’ เป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกันระหว่างมุมมองเชิงกายภาพที่จับต้องได้ กับมุมมองเชิงสภาพจิตใจ นั่นจึงทำให้แบรนด์ของเธอไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาโปรดักต์และประสบการณ์ใหม่ๆ โดยไม่หลงลืมสององค์ประกอบตั้งต้นสำคัญนี้ที่เชื่อมโยงถึงกัน
“ความท้าทายประการถัดมาที่ฉันอยากพูดถึงคือ ‘การส่งต่อประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค’ ที่ผ่านมาเรามักพูดคุยกันเสมอถึงการส่งต่อประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Seamless) ให้กับลูกค้า เช่นแนวคิดแบบ O2O แต่หลังจากปรากฏการณ์โควิด สิ่งที่เกิดขึ้นและฉันสัมผัสได้คือลูกค้ามีแนวคิดที่หลากหลาย (Diversify) มากขึ้นต่อทุก Touchpoint ของแบรนด์ที่ปรากฏขึ้นใน Journey ของลูกค้าแต่ละราย
“ตัวอย่างเช่นถ้าฉันเดินทางไปที่ช็อปหน้าร้านสาขา บางทีฉันอาจจะอยากได้แค่ประสบการณ์บางอย่าง อยากเห็นสินค้าของจริง อยากทดลองหรืออยากคุยกับพนักงาน แต่ถึงเวลาจริงๆ ฉันอาจจะไปตัดสินใจซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในช่องทางใดช่องทางหนึ่งแทนก็ได้ โดยไม่ต้องมากังวลเรื่องการเปรียบเทียบดีลส่วนลดที่ดีที่สุด หรือแรงกดดันที่ถูกส่งต่อมาจากพนักงานขาย
“ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญคือการหาวิธีการใหม่ๆ ในการยกระดับประสบการณ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ และการสร้างบทบาทที่ชัดเจน (Specific Role) ให้กับทุกๆ Touchpoint ของเราที่ตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังต้องไม่ลืมที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและประทับใจให้ลูกค้าทุกคนด้วย”
Glocal Framework หลักคิดสำคัญที่นำไปสู่การทำงานร่วมกับ วิน เมธวิน และ วี-วิโอเลต ผู้บริหารด้านแบรนด์ของ SHISEIDO Ginza Tokyo เล่าถึงการจัดงานอีเวนต์สเกลระดับภูมิภาคในครั้งนี้ของแบรนด์ขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้าง Touchpoint ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค ทั้งยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงอิมแพ็กต์และปรากฏการณ์ที่กลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในไทยสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นบนโลกโซเชียล
“การที่แบรนด์ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ วี-วิโอเลต วอเทียร์ (Friend of SHISEIDO Vital Perfection) และ วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร (Friend of SHISEIDO Ultimune) ซึ่งทั้งสองคนล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงระดับโลก มีแฟนๆ อยู่ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกไม่ใช่แค่ในไทย เราเรียกการทำงานในรูปแบบนี้ว่าเป็น ‘Glocal Framework (Global + Local)’
“ในอดีตที่ผ่านมา SHISEIDO อาจจะยึดแนวทางที่ยึดโยงกับการดำเนินงานของ Global เป็นหลัก แตกต่างจากทุกวันนี้ที่เราหันมาเน้นการทำงานในสเกล Local มากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงไปยังกลุ่มผู้บริโภคท้องถิ่นในประเทศต่างๆ ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมภาพใหญ่ของสเกล Global Level
“นอกเหนือจากนี้ยังมีแพลนที่จะเข้าไปกระตุ้นการทำการตลาดในประเทศต่างๆ ทั่วโลกตามแนวคิด Glocal ด้วย เช่นในอินเดียที่ SHISEIDO ได้เข้าไปทำตลาดแบบ Glocal พร้อมประกาศแต่งตั้ง Tamannaah Bhatia นักแสดงหญิงชาวอินเดียขึ้นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของ SHISEIDO India”
ผู้บริหารหญิงยังได้เผยถึงเหตุผลที่แบรนด์มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ วิน เมธวิน มาอย่างต่อเนื่องในฐานะ Friend of SHISEIDO ว่าเกิดขึ้นจากการที่วินถือเป็นไอคอนที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบ ไม่ได้จำกัดความนิยมแค่ในไทย
ขณะเดียวกันวินยังมีรสนิยม ความสนใจที่หลากหลาย ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่เรื่องราวในวงการบันเทิง แต่ยังครอบคลุมถึงแวดวงศิลปะ มุมมองเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญไม่ต่างกัน
“สิ่งที่ SHISEIDO ยังคงเชื่อมั่นและยืนหยัดที่จะทำต่อไปคือการเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกค้าของเราผ่านตัวแทนของแบรนด์หรือ Friend of SHISEIDO แต่ละคน โดยที่ ‘วิน เมธวิน’ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้เป็นแค่ไอคอนของผู้คนเท่านั้น แต่รสนิยมและความสนใจของวินที่แผ่ขยายไปยังมุมมองอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความหมายที่แท้จริงของนิยามที่ว่า Potential Has No Age ได้เป็นอย่างดี” คุณ Echo กล่าวทิ้งท้าย
บทบาทตลาดประเทศไทยกับความมุ่งมั่นรักษาสถานะผู้นำตลาดสกินแคร์แบบยิงยาว ตามที่เราได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่า SHISEIDO เป็นแบรนด์ที่สามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดสกินแคร์ในไทยเป็นอันดับที่ 1 มายาวนาน 3 ปีติดต่อกัน เป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยนี้เองที่ทำให้ SHISEIDO ค่อนข้างให้ความสำคัญกับตลาดและผู้บริโภคในประเทศไทยมากเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นสังเวียนที่พวกเขาทำผลงานได้ดี ทั้งยังเข้าใจอินไซต์ของผู้บริโภคได้แบบทะลุปรุโปร่ง ทุกแง่มุม ทุกมิติ
“ในมุมมองของฉัน ตลาดประเทศไทยมีความสำคัญต่อแบรนด์ใน 2 มิติ มิติแรกคืออย่างที่ฉันได้เล่าไปถึงก่อนหน้านี้ว่า SHISEIDO ครองอันดับหนึ่งของการเป็นแบรนด์สินค้าสกินแคร์ในตลาดประเทศไทย และเราก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาตำแหน่งดังกล่าวต่อไป ควบคู่ไปกับการพัฒนาและยกระดับการทำงานของเราในตลาดประเทศไทยให้ดีขึ้นในทุกอณู
“สำหรับฉัน ประเทศไทยค่อนข้างเป็นตลาดที่มีความยูนีกในตัวเองเป็นอย่างมาก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมาคือการที่ SHISEIDO ยังได้ปรับสูตรผลิตภัณฑ์กลุ่มครีมบางตัวเป็นพิเศษให้สอดรับกับตลาดไทยโดยเฉพาะ ด้วยสูตรเนื้อครีมที่ต่างออกไปแต่เหมาะสำหรับผิวของกลุ่มลูกค้าคนไทยทุกเพศ ทุกช่วงวัย
“มิติถัดมาคือฉันมองว่าประเทศไทยมีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ทั้งการที่ผู้คนต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน กลมเกลียว และเราก็ยังมีพิธีกรรมความเชื่อหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย นั่นจึงทำให้ SHISEIDO มุ่งมั่นที่จะนำหลักการแบบ Omotenashi (จิตวิญญาณการให้บริการแบบญี่ปุ่น) มาใช้กับผู้บริโภคคนไทยผ่านประสบการณ์การดูแลผิวหน้าให้กับทุกคน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าลูกค้าจะเพลิดเพลินและประทับใจกับประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์ของเราอย่างแท้จริง”
สำหรับในปี 2024 คุณ Echo ทิ้งท้ายว่า SHISEIDO จะยังคงมุ่งเน้นไปที่การผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์ในไลน์ Anti Aging หรือ Vital-Perfection อย่างต่อเนื่อง โดยที่ในเร็วๆ นี้ SHISEIDO ยังมีแพลนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของสินค้าในกลุ่มไลน์ Prestige สู่ท้องตลาดอีกด้วย
มีคำกล่าวที่ว่า การเป็นแชมป์ (ผู้นำตลาด) เป็นสิ่งที่ยากมากๆ แต่สิ่งที่ยากมากกว่าการเป็นแชมป์ก็คือ ‘การรักษาแชมป์’ ไม่ต่างจากสถานการณ์ของ SHISEIDO กับการเดินหน้ารักษาสถานภาพการเป็นผู้นำตลาดสกินแคร์ไทยให้ได้คงอยู่สืบต่อไป
ควบคู่ไปกับการส่งมอบผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภคทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเต็มที่ โดยไร้ซึ่งข้อจำกัด เงื่อนไข และความกังวลด้านอายุ
เพราะที่สุดแล้วเราทุกคนล้วนใช้ชีวิตตามแนวคิด ‘Potential Has No Age’ เหมือนที่ SHISEIDO เชื่อ ดังนั้นจงอย่าปล่อยให้ทุกๆ ศักยภาพในตัวคุณถูกตีกรอบจำกัดด้วยตัวเลขอายุ เพราะทุกความเป็นไปได้ เป็นไปได้เสมอ…