จากข้อมูลคาดการณ์ของ IMF มองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2024 ของประเทศสำคัญๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน จะเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้ายังคงเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง จากสภาพคล่องในระบบยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป อัตราเงินเฟ้อยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ประกอบกับมีแรงกดดันจากปัจจัย Geopolitical Risk ที่ทำให้การลงทุนในภาพรวมปีหน้ายังมีความท้าทายอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ดี การไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมครั้งล่าสุดในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ตลาดมีการตอบสนองต่อปัจจัยดังกล่าวในทิศทางบวก ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น Bond Yield ปรับตัวลดลง เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิต มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/2023 โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่มีตัวเลข Sales และ EPS Surprise จากบริษัทส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดูมีความแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความผันผวนและความท้าทายไปอีกสักระยะหนึ่ง อีกทั้งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นที่สหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในรอบนี้และกลายเป็นเพียงภาวะ Soft Landing ได้
ในแง่ของกลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุน นักลงทุนยังควรมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Keep Investing) ตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยในภาวะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว การลงทุนควรเน้นการสร้างความสมดุลจากการลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินทรัพย์ทางเลือกประกอบกัน โดยการลงทุนในตราสารหนี้ควรเน้นตราสารที่มีความปลอดภัยสูง เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐ หุ้นกู้ระดับ Investment Grade Credit ขึ้นไป เนื่องจากมีระดับอัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยง และลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมด้วยการลงทุนในทองคำบางส่วน สำหรับการลงทุนในตราสารทุนควรให้ความสำคัญกับหุ้นคุณภาพสูง (Buying High Quality) มีกระแสเงินสดอิสระไหลเวียนดี อัตราการก่อหนี้ต่ำ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดความผันผวนและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่เด่นกว่าตลาดได้ในระยะยาว
สำหรับคำแนะนำการลงทุนช่วงปลายปีในกองทุนหุ้นที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี อย่างเช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่ง บลจ.ไทยพาณิชย์ มองเห็นโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่เป็นหุ้นคุณภาพขนาดใหญ่ มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดี (Earning Momentum) และมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนคือตลาดดัชนี S&P 500 ตลาดดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ จำนวน 500 บริษัท ที่ครอบคลุม 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นในสหรัฐฯ โดยมีกองทุนสำหรับสิทธิลดหย่อนภาษีที่แนะนำคือ กองทุนรวมเพื่อการออม SCBS&P500-SSF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ SCBRMS&P500
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับความนิยมอีกดัชนีหนึ่งคือดัชนี NASDAQ-100 ที่มีส่วนประกอบเป็นหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมขนาดใหญ่ในสัดส่วนที่สูงที่คาดว่ามีอัตราการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น และมีการลงทุนในหุ้นคุณภาพที่มีการกระจายตัว ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ดี โดยมีกองทุนสำหรับสิทธิลดหย่อนภาษีที่แนะนำคือ กองทุนรวมเพื่อการออม SCBNDQ(SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ SCBRMNDQ
หากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น การลงทุนในธีมที่มีโอกาสเติบโตสูงกว่าตลาดในระยะยาวในระดับราคาที่สมเหตุสมผลก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม SCBSEMI(SSF) ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ มูลค่าตลาดมีโอกาสเติบโตสูงในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า ด้วยความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากทุกภาคส่วนจากหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ IoT (Internet of Things) ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงการมาของกระแส AI Boom ซึ่งสนับสนุนความต้องการใช้ชิปที่มีคุณภาพสูงเพื่อต่อยอดในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
และสุดท้ายกองทุนรวมเพื่อการออม SCBEV(SSF) ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า จากนโยบายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นวาระสำคัญของโลก ประเทศชั้นนำในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ยุโรป สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ได้ตั้งเป้าหมายการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือพลังงานทางเลือกแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันให้ได้ทั้งหมดภายในปี 2040-2050 ซึ่งหมายถึงความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าและซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะมีโอกาสเติบโตอย่างน้อยในอีก 10-20 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมาพร้อมกับความเสี่ยงด้วยเช่นกัน หุ้นบางกลุ่มเป็นหุ้นวัฏจักรที่มีความผันผวนต่อภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนบรรลุวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาวได้ดีขึ้น นักลงทุนไม่ควรลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์/กลุ่มอุตสาหกรรม/หลักทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป และควรพิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองควบคู่ด้วยเป็นสำคัญ ในกรณีที่นักลงทุนไม่ได้ติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างต่อเนื่อง หรือยังไม่มีความรู้และประสบการณ์ลงทุนมากเพียงพอ การมีทีมที่ปรึกษาการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่แนะนำการจัดพอร์ตเงินลงทุนที่เหมาะสม เพิ่มความเสี่ยงการลงทุนได้อย่างคุ้มค่า ลดความเสี่ยงของพอร์ตตามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และจะช่วยให้นักลงทุนไปสู่เป้าหมายได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น หากต้องการข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม สอบถามรายละเอียดได้ที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 0 2777 7777 หรือ www.scbam.com
การลงทุนในกองทุนรวมมิใช่การฝากเงิน และผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ที่สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน