การเปลี่ยนแปลงแนวทางการคิดภาษีการลงทุนหุ้นต่างประเทศเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีผลสำคัญคือ ทำให้คนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วยตนเองที่เริ่มมีมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้น ‘ไม่เสียภาษี’ เหมือนการลงทุนในหุ้นไทย ถ้าไม่นำเงินกลับมาในปีที่ขายหุ้น
นักลงทุนที่ไปนั้นส่วนใหญ่หวังที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และต่างคิดว่าเงินที่นำออกไปลงทุนจะเป็นการลงทุนระยะยาวถึงยาวมาก เป็นการลงทุนเพื่อชีวิต เป็นการลงทุนเพื่อการเกษียณ หรืออย่างน้อยก็ลงทุนหลายๆ ปี ต่างก็ช็อก เพราะอยู่ๆ ก็มีประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป คนที่นำเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศกลับมาจะต้องเสียภาษีตามอัตราบุคคลธรรมดา ซึ่งอาจเสียภาษีสูงสุดถึง 35%
ที่ทำให้ช็อกกว่าก็คือ เกณฑ์การเสียภาษีใหม่นั้น ถ้าคนที่ไปลงทุนอยู่แล้วไม่ต้องการลงทุนต่อ และจะนำเงินกลับมาทันที เพื่อเลี่ยงที่จะเสียภาษีที่จะเริ่มใช้ในต้นปีหน้า ส่วนใหญ่แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าขายปีนี้เพื่อจะนำเงินกลับมาปีหน้าก็ทำไม่ทันแล้ว สรุปคือ เงินที่ออกไปแล้วตอนนี้ก็เหมือนกับผู้ลี้ภัยที่ไม่สามารถกลับประเทศไทยที่เป็นเหมือนบ้านเกิดได้ โดยเฉพาะถ้าออกไปแล้วทำผลตอบแทนได้ดีและมีกำไรมาก เพราะถ้ากลับมาก็อาจโดนเก็บภาษีถึง 35%
หลายคนที่ประสบปัญหานี้ต่างคิดว่าบางทีเงินนี้อาจต้องอยู่นอกประเทศไปเรื่อยๆ เอาไว้ใช้เวลาที่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก หรือไม่ก็หาวิธีที่จะนำเงินกลับมาโดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งน่าจะมีโอกาสอยู่บ้างเมื่อคิดถึงความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยีทางการเงินในปัจจุบัน
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ออกไปลงทุนต่างประเทศจริงๆ จังๆ แต่กำลังคิดที่จะไป เพราะเริ่มตระหนักว่าการลงทุนเฉพาะในประเทศไทยไม่เพียงพอสำหรับการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนหรือความมั่งคั่ง หรือความมั่นคงทางด้านการเงิน เพื่อทำให้ตนเองมีอิสรภาพทางการเงินเพื่อการเกษียณอย่างมีความสุข ถึงวันนี้ดูเหมือนว่าเส้นทางการลงทุนในต่างประเทศด้วยตนเองนั้นถูกปิดลงไปแล้ว แม้ว่าเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะยังต้องมีการกำหนดรายละเอียดอีกมากมายก่อนถึงวันกำหนดใช้
ประเด็นก็คือ ต่อให้หลักเกณฑ์หรือวิธีการกำหนดว่าจะต้องเสียภาษีอย่างไรชัดเจนขึ้น และอาจช่วยบรรเทาความยุ่งยากในการกำหนดจำนวนภาษีที่จะต้องจ่ายอย่างยุติธรรมขึ้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอนาคตจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันอีก และอาจกระทบกับคนที่คิดว่านำเงินออกไปลงทุนเพราะพอใจกับเกณฑ์ดังกล่าวนั้น พูดง่ายๆ แนวทางที่รัฐบาลทำอยู่ได้เพิ่ม Regulatory Risk หรือ ความเสี่ยงในด้านการออกกฎเกณฑ์ของประเทศ ที่ทำให้นักลงทุนไม่อยากมาลงทุนถ้าหุ้นไม่ดีหรือไม่ถูกจริงๆ ซึ่งจะทำให้การระดมทุนของตลาดทุนด้อยประสิทธิภาพลง
จริงอยู่ที่การลงทุนต่างประเทศสำหรับนักลงทุนรายบุคคลยังเป็นไปได้โดยการลงทุนผ่านกองทุนรวมและเครื่องมือ เช่น DR หรือ ETF ที่ออกในประเทศไทย และเป็นเหมือนตัวแทนของหุ้นหรือหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้ โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีและถูกตีความเหมือนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ก็ขึ้นอยู่กับบริษัทหลักทรัพย์ที่จะเป็นคนเลือกหุ้นหรือกองทุนรวมในต่างประเทศที่คิดว่าเหมาะสมในการลงทุนสำหรับบุคคลทั่วไป และมีจำนวนหุ้นและกองทุนที่จำกัดมากและมักจะเป็นหุ้นตัวใหญ่มากที่มักจะให้ผลตอบแทนแค่ดีพอใช้ในระยะยาว
แต่สำหรับคนที่เป็น VI ผู้มุ่งมั่น หรือเป็นนักลงทุนที่มีความรู้และชาญฉลาด และอยากสร้างความมั่งคั่งเพื่อชีวิตโดยการลงทุนด้วยตนเองแล้ว การตัดช่องทางการลงทุนในตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก อันเนื่องจากอัตราภาษีที่หนักเกินกว่าที่จะรับได้ ก็เหมือนกับการประหารชีวิตการเป็นนักลงทุนของพวกเขา มันคงคล้ายๆ กับคนที่เป็นนักการเมืองโดยชีวิตจิตใจที่ถูกโทษตัดสิทธิห้ามมีตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต
แล้วคนที่เป็น VI ผู้มุ่งมั่นและได้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ บางคนไปถึงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าของความมั่งคั่งรวมอยู่แล้วจะทำอย่างไร? ที่ยิ่งหนักก็คือ ไปมานานหลายปีและมีกำไรที่ยังไม่ได้ขายมากอยู่แล้วจะทำอย่างไร?
คงไม่มีทางออกแบบเดียวสำหรับทุกคน เพราะแต่ละคนก็อยู่ในสถานะที่แตกต่างกันมาก เช่น
- ขนาดของพอร์ตหุ้นต่างประเทศไม่เท่ากัน คนที่มีพอร์ตขนาดใหญ่ก็จะปรับได้ยากกว่าคนที่พอร์ตเล็ก
- กำไรของพอร์ตที่มากหรือน้อย แต่ข้อนี้บางทีก็ต้องดูว่าข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนของหุ้นมีครบถ้วนมากน้อยแค่ไหน เพราะผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่หรือแม้แต่โบรกเกอร์ก็อาจมีไม่ครบ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นบางตัวมีการแจกหุ้นปันผลให้ เป็นต้น
- ระยะเวลาที่เริ่มลงทุน ถ้าลงทุนมานานและมีการซื้อขายและเปลี่ยนเป็นหุ้นตัวใหม่บ่อยๆ รวมถึงในพอร์ตมีหุ้นจำนวนมาก แบบนี้ก็ทำให้ไม่รู้ว่าเมื่อเอาเงินกลับมาจะประสบกับปัญหาการจ่ายภาษีอย่างไร
นอกจากเรื่องสถานะของพอร์ตแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความสามารถและแนวทางการลงทุนของแต่ละคน ประกอบกับสภาวะของตลาดหลักทรัพย์ไทยว่ามีมุมมองอย่างไร ถ้าคนที่ไปลงทุนต่างประเทศแล้วพบว่านั่นคือสิ่งที่เขาจะสามารถทำได้ดีกว่าการลงทุนอยู่แต่ในตลาดไทยมากในภาวะปัจจุบันและอนาคตอาจจะ 10 ปีข้างหน้า แบบนี้เจ้าตัวก็จะต้องคิดว่าตนจะยอมลงทุนเฉพาะในตลาดไทยแห่งเดียวและทิ้งตลาดหุ้นอื่นทั้งหมดหรือไม่ หรือจะต้องยอมลงทุนภายใต้ลมต้าน ซึ่งก็คือต้นทุนทางด้านภาษี หรืออาจมีอุปสรรคอย่างอื่นในตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น
ส่วนตัวผมเอง ในฐานะที่เป็น VI พันธุ์แท้ที่มุ่งมั่นยึดหลักการลงทุนเพื่อชีวิต และได้ผ่านชีวิตการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมายาวนาน รวมถึงได้ไปลงทุนในต่างประเทศมาเกือบ 10 ปี แล้ว ด้วยขนาดพอร์ตล่าสุดประมาณ 30% ของความมั่งคั่งทั้งหมด มีความเห็นว่า ณ เวลานี้ เราไม่สามารถที่จะลงทุนเฉพาะในประเทศไทยได้ การลงทุนในต่างประเทศสำหรับผมมีความสำคัญไม่น้อยกว่าประเทศไทยแล้ว อนาคตอาจสำคัญยิ่งกว่า ดังนั้นอย่างไรก็ต้องลงทุนในต่างประเทศด้วย
ประการต่อมาคือ จะต้องลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ และไม่นำเงินกลับมาเลย เพราะจะถูกเก็บภาษีซึ่งจะลดผลตอบแทนไปมาก การทบต้นเงินลงทุนไปเรื่อยๆ มีโอกาสสูงที่พอร์ตนั้นจะโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งที่เราอาจจำเป็นต้องใช้มัน จึงค่อยหาทางว่าจะนำมาใช้ได้อย่างไรที่จะเสียภาษีน้อยที่สุดหรือไม่เสียภาษีเลย เช่น อาจเป็นการใช้ในต่างประเทศโดยที่เงินไม่ต้องเข้าประเทศไทยก่อน อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้เรายังอาจจะไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ เพราะเกณฑ์ต่างๆ ยังไม่แน่นอน และอนาคตก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้อีก
ในอีกแนวทางหนึ่งคือ การยอมจ่ายภาษีรายได้จากปันผลและกำไรจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ แต่ใช้วิธีบริหารภาษีให้ต้องจ่ายน้อยที่สุดและจ่ายช้าที่สุด เช่น ไม่ขายหุ้นบ่อย หรือขายหุ้นที่ขาดทุนมาชดเชยกำไรถ้าทำได้ในแต่ละปี เป็นต้น ซึ่งนี่ก็คล้ายๆ กับสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำ นั่นคือทบต้นผลกำไรที่ยังไม่รับรู้ไปเรื่อยๆ เพื่อชะลอการจ่ายภาษีไปให้ยาวนานที่สุด แต่ในที่สุดก็จะต้องจ่ายภาษีทั้งหมด แต่อาจจะจ่ายในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ในระหว่างนั้นเงินหรือมูลค่าที่ยังค้างอยู่ในบริษัทก็สร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนี่ก็คือโมเดลของ Berkshire ที่ทำมานานหลายสิบปีจนถึงวันนี้
ข้อที่ควรคำนึงสำหรับการปรับตัวรับกับอุปสรรคของการลงทุนครั้งนี้ก็คือ แนวโน้มของประเทศไทยที่อาจเริ่มเก็บภาษีมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงได้ยาก และการเก็บนั้นก็จะเน้นไปที่คนมีเงินหรือทำเงินได้มาก นั่นคือกลุ่มคนที่ลงทุนในธุรกิจใหญ่ๆ ซึ่งคือบริษัทในตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นถ้าเราเป็นคนไทยในที่สุดก็หนีไม่พ้น แม้ว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าจะไม่มีการเก็บภาษีหุ้น
ดังนั้นผมเองคิดว่ายุคทองของการลงทุนโดยเฉพาะของ VI ไทย ที่ทุกอย่างในประเทศและตลาดหุ้นไทยเอื้ออำนวยคงจะจบลงแล้ว ถ้าจะหาสวรรค์ใหม่ ก็คงจะต้องไปลงทุนต่างประเทศและยอมเสียภาษีหุ้นเพิ่ม ซึ่งอาจไม่สามารถสร้างผลตอบแทนสุดยอดแบบที่เคยทำได้อีก