Mercedes-Benz เผย ยอดขายรถเมืองไทยทะลุ 1.4 หมื่นคัน เน้นขยายฐานลูกค้ารุ่นใหม่ ใช้สื่อดิจิทัลมากกว่าสื่อดั้งเดิม
ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายรถ Mercedes-Benz ทั่วโลกสูงเกือบ 2.3 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึง 9.9% โดยภูมิภาคที่เติบโตที่สุดคือเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมียอดขายกว่า 8.7 แสนคัน เพิ่มขึ้นถึง 19.2% ขณะที่ประเทศไทยมียอดขายรถเบนซ์กว่า 1.4 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 23% และยังครองส่วนแบ่งทางการตลาดรถหรูเป็นอันดับหนึ่งต่อเนื่องเป็นปีที่ 17
รถที่ขายดีต่อเนื่องยังเป็นรถในกลุ่มซีดานอย่าง C-Class, E-Class และ S-Class นอกจากนี้ยังมีรถในกลุ่มอื่นๆ เพื่อทำตลาดได้หลากหลายขึ้น ได้แก่ รถกลุ่ม Compact Car ซึ่งเป้าหมายสำคัญคือกลุ่มคนมิลเลนเนียลที่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน (First Jobber) โดยยอดขายของรถกลุ่มนี้โตแบบก้าวกระโดด มีสัดส่วนคิดเป็น 23% ของยอดขายรวมทั้งหมด ส่วนรถกลุ่ม SUV สำหรับครอบครัวก็ยังไปได้ดี
สำหรับกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตสมรรถนะสูง จะมีแบรนด์ Mercedes-AMG ภายใต้ Mercedes-Benz ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าจับตา เนื่องจากความต้องการรถสปอร์ตในไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสาวกของแบรนด์จะตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกันสัญชาติอิตาเลียนหรือแบรนด์คู่แข่ง
ทิศทางการดำเนินงานในปี 2561 นี้ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer Experience) ยังเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยการสื่อสารการตลาด Mercedes-Benz จะเน้นการใช้สื่อดิจิทัลให้เข้มข้นขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในทุกอุตสาหกรรมทั่วโลกเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดีอยู่แล้ว
อัชฌ์ บุณยประสิทธิ์ ผู้บริหารด้าน Marketing Operations & Communications ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว THE STANDARD ว่า ช่วงปลายปีที่ผ่านมา Mercedes-Benz ทั่วโลกปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจในหลายมิติ รถหรูยังเป็นเครื่องสะท้อนสถานะทางสังคมที่คนไทยให้ความสำคัญ ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น และรถเบนซ์ตอนนี้ก้าวข้ามจากภาพลักษณ์เดิมของรถสำหรับผู้บริหารที่มีอายุไปเป็นรถพรีเมียมที่โฉบเฉี่ยว ออกแบบได้โดนใจมากขึ้น จนลูกค้าของแบรนด์คู่แข่งบางแบรนด์ที่เคยขึ้นชื่อเรื่องความเท่ก็ยังเปลี่ยนใจมาใช้งาน ขณะที่ลูกค้าของ Mercedes-Benz กลับมีความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) สูง และอัตราการเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นต่ำ ขณะเดียวกันทีมขายก็รุกตลาดหนักขึ้น บางโอกาสก็จะนำรถตัวอย่างไปให้ลูกค้าลองใช้งานถึงบ้าน และตอบรับกับความต้องการเฉพาะคนมากขึ้นด้วย
กลยุทธ์ด้านการขายที่สำคัญคือการนำรถรุ่นใหม่ๆ เข้ามาขายได้เร็วขึ้น ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะได้เห็นรถรุ่นใหม่ ในปัจจุบันจะนำรถรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวมาขายหลังจากจัดงานภายใน 1 เดือน เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้า และระยะเวลาส่งมอบจะไม่เกิน 3 เดือนนับจากที่จองรถ
แม้กระทั่งรถหรูก็ยังต้องคำนึงเรื่อง ‘เก่งไม่กลัว กลัวช้า’ สะท้อนเรื่อง Economy of Speed ได้อย่างดี
อ้างอิง: Mercedes-Benz (Thailand) Ltd.