ค่า เงินบาท ในช่วงเช้าวันนี้ (10 ตุลาคม) อ่อนค่าสู่ระดับ 37.71 บาทต่อดอลลาร์ จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 37.37 บาทต่อดอลลาร์ หลังตลาดการเงินพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว ตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง สะท้อนแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ประเมินว่า เงินบาทในวันนี้อาจเคลื่อนไหวผันผวน อ่อนค่าลง ใกล้โซนแนวต้าน 37.80-37.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากตลาดยังปิดรับความเสี่ยงจากความกังวล Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจเกิดพร้อมการย่อตัวลงของราคาทองคำ (Correlation กับเงินบาทถึง 78%) จึงควรจับตาทิศทาง Fund Flow นักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการขายสินทรัพย์ไทย ซึ่งพอจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ในระยะสั้นนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 16 ปี
- วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค
- 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565
ในส่วนเงินดอลลาร์มองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งต้องรอติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI อย่างใกล้ชิด รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยที่ยังหนุนการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
โดยในสัปดาห์นี้ไฮไลต์สำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่การรายงานเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายนของสหรัฐฯ เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของ Fed โดยตลาดมองว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน อาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.5% หนุนโดยค่าเช่าที่ยังคงเพิ่มขึ้น และการปรับตัวขึ้นของราคาในหมวดภาคการบริการตามโมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ หนุนโดยภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 8.1% ตามการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยังคงสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุดของ Fed
อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อเร่งขึ้นมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า Fed อาจจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนสูงกว่า Terminal Rate ที่มองไว้ ณ 4.75% เช่น 5.00% หรือมากกว่านั้นได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้
ทั้งนี้ ควรต้องจับตาแนวโน้มคาดการณ์เงินเฟ้อระยะสั้นและระยะปานกลางจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ประกอบด้วย เพราะหากเงินเฟ้อคาดการณ์ โดยเฉพาะเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง 5 ปี ชะลอลงต่อเนื่อง (ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.7%) ก็อาจทำให้ Fed เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าอาจคุมสถานการณ์เงินเฟ้อได้ และความเสี่ยงที่จะเกิด Wage Price Spiral ก็อาจเริ่มลดลง
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการใช้จ่ายของครัวเรือนสหรัฐฯ ผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกันยายน ที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวราว +0.2% จากเดือนก่อนหน้า โดยตลาดมองว่าท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แย่กว่าคาด อาจช่วยพยุง Sentiment ตลาดให้กลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือ Bad news is Good news for the Market ซึ่งอาจเห็นการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ได้
“แม้ว่าตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เรามองว่าสิ่งที่ควรจับตาและให้ความสนใจเช่นกัน คือ รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจ โดย IMF หรือ World Economic Outlook ซึ่งคาดว่า IMF อาจปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจลงมากขึ้น และอาจชี้ว่าเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจฝั่งประเทศพัฒนาแล้วอาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางและแรงกดดันต่อค่าครองชีพในภาวะเงินเฟ้อสูง ซึ่งมุมมองเชิงลบดังกล่าวของ IMF อาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินได้ (Recession Fears)” พูนระบุ
สำหรับฝั่งยุโรป บรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูง แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงความเสี่ยงวิกฤตพลังงาน และสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ซึ่งมุมมองดังกล่าวจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนตุลาคม ที่ลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ -35 จุด
ขณะที่ฝั่งเอเชีย ตลาดประเมินว่า ภาคการค้าระหว่างประเทศของจีนอาจยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ยอดการส่งออก (Exports) เดือนกันยายน โตเพียง +4.8%y/y ชะลอลงจาก +7.1% ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ยอดการนำเข้า (Imports) อาจขยายตัวราว +1.0%y/y เร่งขึ้นจาก +0.3% ในเดือนก่อนหน้า หลังทางการจีนผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่อุตสาหกรรม และมีการเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ขาดแคลนพลังงาน
อนึ่ง หากความต้องการบริโภคในจีนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID อย่างที่ตลาดคาดหวัง ก็มีโอกาสที่จะเห็นยอดการนำเข้าของจีนเร่งตัวขึ้นได้ (อาจดีกับยอดการส่งออกของไทย/ประเทศคู่ค้าในฝั่งเอเชีย) ส่วนในฝั่งนโยบายการเงิน ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 3.50% เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ (ล่าสุดยังสูงกว่า 5.6%) และลดแรงกดดันต่อค่าเงิน KRW รวมถึง Fund Flow นักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง
พูนระบุอีกว่า ในสัปดาห์นี้ตลาดการเงินจะจับตาความเสี่ยงพิเศษอีกหนึ่งเรื่องคือสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 ตุลาคม) ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น สร้างความเสียหายหนักต่อสะพานเชื่อมต่อระหว่างไครเมียกับดินแดนของรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัสเซียในการส่งกำลังบำรุงปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ทางตอนใต้ของยูเครนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทำให้แม้ว่าจะยังสรุปไม่ได้ว่าเหตุระเบิดดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากฝีมือของฝ่ายไหนและเพื่อจุดประสงค์ใด แต่สิ่งที่ควรติดตามและระวังคือ ความร้อนแรงของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นในวันเกิดของประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการสนับสนุนการใช้งานสะพานดังกล่าว อีกทั้งสะพานดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การก่อสร้างของบริษัทที่ใกล้ชิดกับผู้นำรัสเซีย
ตลาดการเงินอาจกลับมากังวลสถานการณ์สงครามที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นได้ ในกรณีที่รัสเซียโจมตีเมืองสำคัญหรือฐานทัพของยูเครนด้วยขีปนาวุธความเร็วสูง หรืออาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่าง Tactical Nuclear Weapons ซึ่งอาจตามมาด้วยการตอบโต้จากทางฝั่ง NATO หรือสหรัฐฯ ทำให้สถานการณ์สงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ตลาดการเงินอาจเลือกที่จะปิดรับความเสี่ยงและหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
โดยปกติ War Shock ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมามักจะหนุนให้เงินเยน (JPY) และบอนด์ระยะยาวปรับตัวขึ้น ทว่าในรอบนี้ความเสี่ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าพลังงานปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้ ทำให้ตลาดยังคงกังวลปัญหาเงินเฟ้อและการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง โดยเฉพาะ Fed ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า เงินดอลลาร์อาจเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ตลาดเลือกที่จะถือในภาวะดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หากบอนด์ยีลด์ไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมาก (เพราะตลาดก็ยังคงกังวลภาพเศรษฐกิจถดถอยอยู่) ก็อาจทำให้ทองคำเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตลาดอยากเข้ามาถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน
แม้มีความเสี่ยงที่รัสเซียจะตอบโต้ด้วยอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง แต่ตลาดยังไม่ได้กังวลกับภาพดังกล่าวมากนัก เนื่องจากการเคลื่อนย้ายอาวุธดังกล่าวมักถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากฝั่งตะวันตก ทำให้อาจมีการส่งสัญญาณเตือนภัยจากหน่วยข่าวกรองของฝั่งตะวันตกก่อนได้ (อย่างที่สหรัฐฯ เคยเตือนการบุกโจมตียูเครนโดยรัสเซีย) อีกทั้งรัสเซียยังมีทางเลือกอยู่หลายทางในการโจมตี ตอบโต้ฝั่งยูเครน โดยไม่ต้องใช้อาวุธทำลายล้างสูง