เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.อาปิโก ไฮเทค (AH) เผยการคาดการณ์ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ OEM ในประเทศไทย (51% ของยอดขาย 2Q65) จะปรับตัวดีขึ้นใน 3Q65 โดยได้รับการสนับสนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ให้ผลิตเพลารถกระบะซึ่งเริ่มผลิตในปลาย 2Q65 (มูลค่ารวมราว 1 พันล้านบาทต่อปี) และจะรับรู้เต็มไตรมาสใน 3Q65
ขณะที่ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยแตกต่างกัน แต่ลูกค้าหลักของบริษัทยังไม่ได้มีปัญหาด้านอุปทานที่เกี่ยวข้องกับการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ AH คาดว่าผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทยจะมีจำกัด เนื่องจากแรงงานของบริษัท (12% ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด) เป็นแรงงานที่มีทักษะ ดังนั้นจึงได้รับค่าจ้างสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว
ด้านการดำเนินงานในยุโรป AH เผยการดำเนินงานในประเทศโปรตุเกส (18% ของยอดขาย 2Q65) มีผลขาดทุนเล็กน้อยราว 20 ล้านบาท ใน 2Q65 โดยมีสาเหตุมาจากคำสั่งซื้อที่ลดลงจากผู้ผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ยอดขายรถยนต์ในสหภาพยุโรปลดลง 14%YoY ใน 1H65) และรายการพิเศษจากการตั้งสำรองลูกหนี้การค้า
แม้ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปยังมีอยู่ แต่สถานการณ์ค่อนข้างดีกว่า 2Q65 เมื่อพิจารณาจากคำสั่งซื้อที่มีเพิ่มขึ้น AH คาดว่าการดำเนินงานในประเทศโปรตุเกสจะถึงจุดคุ้มทุนใน 3Q65 และจะมีกำไรเล็กน้อยใน 4Q65
อย่างไรก็ตาม ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทำให้ยอดขายรถยนต์ในยุโรปยังลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนกรกฎาคม โดยเยอรมนีลดลง 13%YoY และฝรั่งเศสลดลง 7%YoY เมื่อมองต่อไปข้างหน้า โดยปกติแล้วความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ มีความสัมพันธ์กับสภาวะเศรษฐกิจ
ซึ่ง SCBS มองว่าความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อรถยนต์ในยุโรปและอาจส่งผลทำให้การดำเนินงานในประเทศโปรตุเกสของ AH ฟื้นตัวได้ช้า
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น AH ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.67% สู่ระดับ 25.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.93% สู่ระดับ 1,638.38 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
SCBS ประมาณการกำไรปกติปี 2565 จะเติบโต 28%YoY และจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มยานยนต์ ขณะที่ 3Q65 คาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มขึ้นมาก YoY (จากฐานต่ำ) และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากการดำเนินงานในประเทศไทยที่แข็งแกร่งขึ้น
ทั้งนี้ SCBS ปรับ Tactical Call ระยะ 3 เดือน สำหรับ AH ลงสู่ NEUTRAL (จาก OUTPERFORM) โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 26 บาทต่อหุ้น (อ้างอิง PE 9 เท่า) เนื่องจากคาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นลบจากปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการรถยนต์
และคาดจะส่งผลทำให้ราคาหุ้น AH พักตัวหลังจากทะยานขึ้น 19% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับฤดูกาลการจ่ายเงินปันผลได้ผ่านพ้นไป
อย่างไรก็ตาม SCBS ชอบ AH ที่มีกิจการอยู่ในฐานการผลิตที่สำคัญของโลก ทั้งประเทศไทย โปรตุเกส และจีน ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ในกลุ่มยานยนต์มีกิจการอยู่ในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ และ AH (ผ่านทางธุรกิจในโปรตุเกส) น่าจะได้รับประโยชน์จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดในยุโรป
สำหรับปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
- การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งจะส่งผลทำให้ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่การประกอบรถยนต์ไปจนถึงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์หยุดชะงัก
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการรถยนต์
- อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยราว 60% ของ AH มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่ง SCBS ได้ทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหวและพบว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% จะส่งผลกระทบทำให้กำไรปี 2566 หายไปราว 3%
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP