แม้ว่าจะมีปัจจัยแวดล้อมหลากหลายอย่างที่ทำให้ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เป็นครึ่งปีแรกที่แย่ที่สุดนับแต่ปี 1970 แต่หากจะรวมเอาปัจจัยลบต่างๆ ให้มาอยู่ในคำคำเดียว ก็อาจจะพูดได้ว่า ‘เงินเฟ้อ’ คือต้นเหตุที่สำคัญ
ค่าครองชีพในสหรัฐฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงสุดนับแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ก่อนจะถูกซ้ำเติมด้วยการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คาดการณ์เงินเฟ้อผิดพลาด จนทำให้เกิดความเสี่ยงต่อตลาด ในขณะที่เศรษฐกิจก็ยังคงเปราะบางจากการระบาดของโควิด
ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงเกือบ 20% ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงไปถึง 30% ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ เช่น Bitcoin ลดลงเกือบ 60% แม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์บางส่วนก็ดิ่งลงแรง เช่น ราคาทองแดงที่ลดลง 15% ราคาฝ้ายลดลง 13%
Quincy Krosby หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุนของ LPL Financial กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ Fed คิดว่าจะสามารถจัดการกับเงินเฟ้อได้ไม่ยากนัก และ Fed เพิ่งจะรู้สึกแปลกใจกับเงินเฟ้อเพียงแค่ไม่กี่วันก่อนที่จะมีการประชุมครั้งล่าสุดเท่านั้น
ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานยังคงถูกกระทบจนไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ นำไปสู่ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และการที่รัสเซียรุกรานยูเครนก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่เกิดขึ้น ผลักดันให้ราคาพลังงานและอาหารเพิ่มขึ้นอีก หลังจากที่ประเมินเงินเฟ้อผิดพลาด ทำให้ Fed ถูกบังคับให้เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อลง
Krosby กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตลาดกำลังรออยู่ในขณะนี้คือท่าทีของ Fed ที่จะเริ่มผ่อนคลายลง ซึ่งอาจจะเป็นจังหวะที่ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลง เช่น 0.5% หรือ 0.25% ขึ้นกับว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนกรกฎาคมนี้ อยู่ในระดับเดียวกับเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผานมา
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเหตุผลสำหรับมุมมองเชิงบวกอยู่บ้าง คือย้อนกลับไปเมื่อปี 1970 ที่ดัชนี S&P 500 ลดลงถึง 21% ในครึ่งปีแรก แต่เมื่อเข้าสู่ครึ่งปีหลังตลาดสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ถึง 26.5% และทำให้ภาพทั้งปีกลับมาเป็นบวก
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP