ตลาดหุ้นโลกปรับฐานต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปที่ปรับฐานอย่างหนักในระดับ 3-4% โดยดัชนี Euro Stoxx 50 ร่วงลงไป 4.14% ขณะที่ตลาดหุ้นรัสเซียซึ่งมีประเด็นเรื่องของความขัดแย้งกับยูเครน จนนำไปสู่ความกังวลในเรื่องของสงคราม ดัชนีปรับตัวลดลงไปถึง 8% เมื่อวานนี้ (24 มกราคม)
ความกังวลที่เกิดขึ้นส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียในช่วงเช้าของวันนี้ (25 มกราคม) ได้รับ Sentiment เชิงลบตามไปด้วย กดดันให้ตลาดหุ้นหลักในเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน และจีน ติดลบไปประมาณ 1.5-2.5% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีแรงขายออกมาเช่นกัน โดยดัชนี SET ลดลงไปลึกสุด -16.25 จุด แตะระดับ 1,624.29 จุด ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาปิดครึ่งวันแรกที่ 1,632.82 จุด -7.72 จุด หรือ -0.47%
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า แรงขายในตลาดหุ้นไทยเช้านี้เป็นผลจาก Sentiment เชิงลบตามตลาดหุ้นทั่วโลก หากปัจจัยกดดันสำคัญคือความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 26 มกราคม 2565 ยังไม่มีความแน่ชัด เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยก็จะยังเผชิญกับแรงกดดันต่อไป
อย่างไรก็ดี หลังจากที่ผลการประชุม Fed ออกมาแล้ว และไม่ได้มีอะไรผิดไปจากที่ตลาดคาดไว้นัก เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนจะดีขึ้น หลังจากที่ความกังวลคลี่คลายไปทีละเรื่อง
“ประเด็นระหว่างรัสเซียและยูเครนคงจะใช้เวลา นักลงทุนก็อาจจะจำกัดความเสี่ยงโดยการลดพอร์ตลงมา และถือเงินสดมากขึ้น แม้จะมองว่าสงครามไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ไม่มีใครคาดเดาได้ การลงทุนไม่จำเป็นจะต้องล้างพอร์ตหรือเต็มพอร์ตตลอดเวลา ไม่จำเป็นจะต้อง Bet กับเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ การถือเงินสด 30-40% ในภาวะเช่นนี้ จะช่วยให้บริหารจัดการพอร์ตได้ง่ายขึ้น”
ในเรื่องของ Sentiment ตลาดในระยะสั้น นักลงทุนอาจจะติดตามดูดัชนีตลาดหุ้นรัสเซีย ซึ่งจะเปิดทำการตั้งแต่เวลา 13.30 น. ตามเวลาไทย หากตลาดหุ้นรัสเซียยังลงต่อ ก็อาจจะใช้กลยุทธ์ Wait and See ต่อไป
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นรัสเซียทั้งในส่วนของดัชนี MOEX และดัชนี RTSI ปรับตัวขึ้น 2.6% และ 3.6% ตามลำดับ ในช่วงแรกของการเปิดตลาด
ด้าน สุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากความกังวลข้างต้น หุ้นไทยจะปรับลงน้อยกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไว้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากหุ้นไทยมีกลุ่มของหุ้น Value ค่อนข้างมาก และได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวสูง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังฟื้นตัว
หากพิจารณาผลตอบแทนดัชนีตั้งแต่ต้นปี 2565 จะเห็นว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่าตลาดหุ้นโลกค่อนข้างมาก อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ลดลงไปกว่า 5-10%
แต่ในเรื่องของ Fund Flow อาจจะยังไม่ได้ไหลเข้าตลาดหุ้นมากนัก หาก Fed มีแนวโน้มที่จะออกนโยบายเข้มข้นมากขึ้น และด้วยอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ที่สูงขึ้น จะดึงดูดให้นักลงทุนนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรซึ่งมีความเสี่ยงต่ำมาก ในภาวะที่ตลาดหุ้นยังมีความไม่แน่นอนสูง
“สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือนักลงทุนขายหุ้น Growth ไปเข้าหุ้น Value รวมถึงเข้าลงทุนในพันธบัตรและทองคำ ขณะที่คริปโตถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยงเช่นกัน และพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่ Digital Gold แต่อย่างใด”
กลยุทธ์ลงทุนปีนี้ควรระมัดระวังและถือเงินสด 20-30% เชื่อว่าปีนี้ตลาดจะแกว่งกว้างในกรอบ 1,500-1,700 จุด การปรับฐานรอบนี้ควรจะเน้นสะสมหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มธนาคาร ประกัน อสังหาริมทรัพย์ และค้าปลีก ซึ่งตลาดไม่ได้คาดหวัง และจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
“สาเหตุที่มองว่าตลาดมีโอกาสลงไปถึง 1,500 จุด เพราะหาก Fed ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด จะหนุนให้บอนด์ยีลด์ขึ้นแรง และดอกเบี้ยที่ถูกปรับขึ้น ทุกๆ 0.25% เท่ากับ SET จะมี Downside 30 จุด”
อย่างไรก็ตาม หลังการประชุม Fed ในวันพุธนี้อาจเห็นการฟื้นตัวของตลาด แต่การฟื้นตัวในรอบนี้ควรใช้เป็นจังหวะในการลดพอร์ต หรือทำ Short Against Port เพื่อป้องกันความไม่แน่นอนจากภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะลดลงยากในรอบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ยังสูงอยู่