บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินกรอบดัชนีปีนี้ 1,550-1,750 จุด และคาดการณ์ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ 5-8% โดยยังต้องจับตา 4 ความเสี่ยงสำคัญคือ นโยบาย Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินคาด โควิดกลับมาระบาดใหม่อีกระลอก เศรษฐกิจจีนชะลอตัว และฟองสบู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมแนะนำ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะโตโดดเด่น และได้รับอานิสงส์จาก 4 ธีมลงทุน คือ Metaverse, Clean Energy, Cybersecurity และ Digital Asset
สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยประเมินระดับ SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,660 จุด และจะมีกรอบการเคลื่อนไหวบริเวณ 1,550-1,750 จุด และคาดผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่ 5-8% โดย 5% มาจากผลตอบแทนจาก Capital Gain ส่วน 3% มาจากผลตอบแทนเงินปันผล
ปี 2565 กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะกลับเข้าสู่ภาวะก่อนเกิดวิกฤตโควิด ซึ่งหมายถึง อัตราการเติบโตของ GDP ในระดับที่มีเสถียรภาพ อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะชะลอตัวลง อัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับตัวขึ้น รวมถึงจะมีการปรับขึ้นอัตราภาษี เพื่อสร้างสมดุลให้กับฐานะการเงินของรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นจะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2564
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกกอย่างระมัดระวัง โดยคาดว่า GDP จะเติบโต 3.6-4.0% จากที่หดตัวลง 6.1% ในปี 2563 และเติบโต 1.0% ในปี 2564
อย่างไรก็ตาม จากการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของโควิด ในกรณีที่โควิดแพร่ระบาดรุนแรงอีกระลอก จนทำให้รัฐบาลไทยใช้นโยบายล็อกดาวน์อีกครั้ง จะกระทบต่อ GDP ของไทยราว 0.5%
สุกิจกล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในปีนี้ ประกอบด้วย 1. Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วไป 2. โควิดกลับมาระบาดรุนแรง 3. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นค่อนข้างมาก เพราะจีนใช้นโยบาย Zero COVID ซึ่งเป็นนโยบายสุดโต่งที่กระทบเศรษฐกิจโดยตรง และ 4. ฟองสบู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
ทั้งนี้ กลุ่มหุ้นเด่นปีนี้ ประเมินจากกลุ่มที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างน่าสนใจ และได้อานิสงส์จาก 4 ธีมการลงทุนที่โดดเด่นในปีนี้คือ ธีม Metaverse, Clean Energy, Cybersecurity และ Digital Asset โดยกลุ่มหุ้นเด่นประกอบด้วยกลุ่มพาณิชย์, สื่อสาร, ประกัน, ยานยนต์ และธนาคาร
ส่วน 10 หุ้นเด่นปีนี้ ประกอบด้วย
- KBANK: หนึ่งในผู้นำด้าน Digital banking คาดกำไรสุทธิปี 2565 มี Upside จาก Credit Cost ที่มีโอกาสลดลง
- AMATA: คาดว่ายอดการโอนที่ดินจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ต่อเนื่องถึงปี 2565 จากลูกค้าหลักในกลุ่มพลังงาน ยานยนต์ และโลจิสติกส์
- ZEN: ได้รับประโยชน์จากการกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โควิดคลี่คลาย ส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรปี 2565
- LH: ปี 2565 คาดได้รับแรงหนุนจากการผ่อนปรน LTV บ้านหลังที่สองและสามเต็มที่ เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมของการเปิดโครงการใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น 50%
- GULF: กำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12.4% ต่อปีในช่วง 7 ปีข้างหน้า ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน INTUCH ช่วยสร้างความมั่นคงของกำไรสุทธิ
- DELTA: ได้รับประโยชน์จากฐานลูกค้าในกลุ่ม EV Car พลังงานสะอาด และโทรคมนาคม
- ADVANC: มีโอกาสจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นสำหรับปี 2565 เนื่องจากงบลงทุนลดลง รวมถึงได้รับประโยชน์จากเทรนด์ธุรกิจ Metaverse
- ONEE: ประเมินธุรกิจโฆษณาผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนในปี 2565
- SECURE: ได้รับประโยชน์จากโลกในยุคดิจิทัลที่ทำให้ความปลอดภัยในเรื่องของข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น
- XPG: ผลประกอบการปี 2565 Turnaround หลังเข้าสู่ธุรกิจ Digital Asset
“กรณีล่าสุดที่ Fed ลดงบดุล เป็นการสะท้อนภาพของการกลับเข้าสู่ความเป็นปกติ หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นมามากแล้ว ผลของการลดงบดุลคือทำให้สภาพคล่องในตลาดการเงินจะถูกเติมน้อยลง ตลาดหุ้นจะลดความร้อนแรงลงเช่นกัน และเมื่อนำมาพิจารณากับมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างขึ้นไปสูงแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นไปต่อได้ยาก อีกทั้งยังกระทบต่อต้นทุนภาคธุรกิจ กำไรบริษัทจดทะเบียนและกำลังซื้อ ส่วนตลาดคริปโตเคอร์เรนซี มองเป็นโอกาสการลงทุนที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทน โดยมองว่าควรมีสัดส่วนลงทุนในคริปโตไม่เกิน 15%” สุกิจกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP