‘อินเดีย’ เป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญการระบาดของโรคโควิดอย่างหนัก โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2564 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงระดับ 3-4 แสนรายต่อวัน แต่หลังจากนั้นสถานการณ์โดยรวมเริ่มทยอยดีขึ้นต่อเนื่อง และทำให้ตลาดหุ้นอินเดียกลับมาคึกคักอีกครั้ง
หากย้อนดูการเคลื่อนไหวของดัชนี BSE Sensex ตลาดหุ้นอินเดีย ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่สถานการณ์โควิดภายในประเทศเริ่มดีขึ้น พบว่าดัชนีปรับตัวขึ้นมาราว 10% และถ้าดูตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนี BSE Sensex ก็ให้ผลตอบแทนที่สูงถึง 15% นับเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน
ทีมข่าว THE STANDARD WEALTH ชวนไปหาคำตอบว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับขึ้นร้อนแรง แล้วจังหวะนี้ยังสามารถเข้าไปลงทุนได้อยู่หรือไม่
นาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย วิเคราะห์ว่าหุ้นอินเดียที่ปรับตัวขึ้นหลักๆ มาจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ
- การเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะจริงๆ แล้วปัจจัยพื้นฐานของอินเดียแทบไม่ต่างจากจีนเลย ทั้งเรื่องของจำนวนประชากรในระดับ 1.4 พันล้านคน และมีประชากรในวัยทำงานอยู่ในระดับสูง ซึ่งเศรษฐกิจอินเดียปีนี้ยังเติบโตมากที่สุดในเอเชียเกือบ 9% และปีหน้าก็น่าจะโตใกล้เคียงกันที่ 8%
- พฤติกรรมคนอินเดียที่ให้ความสำคัญกับการออม ซึ่งจากเดิมมักจะเก็บเงินด้วยการซื้อทองคำเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันนิยมหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าการลงทุนหุ้นส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินภายในประเทศทั้งในส่วนของสถาบันและนักลงทุนรายย่อย และถ้าดูขนาดของบริษัทจัดการกองทุนในอินเดียจะเห็นได้ว่าเติบโตขึ้นกว่าในอดีตมาก ตรงนี้เองถือเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตของตลาดหุ้นอินเดีย เช่นเดียวกับมาเลเซีย
“คนอินเดียเป็นคนฉลาดและสนใจเรื่องการเงิน และที่ว่าเหมือนกับตลาดหุ้นมาเลเซีย ก็เพราะว่าตลาดหุ้นมาเลเซียจะมีแรงซื้อตลอดเวลาจากกองทุนบำนาญขนาดใหญ่ ที่ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นประจำจากการหักเงินเพื่อการออมภาคบังคับ แต่คนอินเดียเขาจะสนใจการออมเองโดยไม่ได้มีใครบังคับ ซึ่งขนาดไม่มีกองทุนบำนาญยังมีแรงซื้อเข้ามาตลอด ถ้ามีการตั้งกองทุนขึ้นมาก็น่าจะทำให้หุ้นของอินเดียมีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก”
‘หุ้นอินเดีย’ แพงหรือยัง ราคาจะไปต่อได้หรือไม่?
นาวินบอกว่า ณ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่าแพงขึ้น ยกเว้นหุ้นจีน ส่วนหุ้นอินเดียก็ถือว่าแพง แต่คนยอมจ่ายแพงเพื่อตลาดที่ผลประกอบการจะดี และเขาสามารถถือระยะยาวได้
“นักลงทุนสมัยนี้รับราคาที่สูงได้ แต่ขอเพียงแลกมาด้วยผลประกอบการที่ดีด้วย ซึ่งปีหน้าผลประกอบการของหุ้นอินเดียก็น่าจะเติบโตได้ที่ประมาณ 15% เทียบกับสหรัฐฯ ที่ปีหน้าจะโตต่ำกว่า 10% ก็ถือว่าน่าสนใจมากกว่า และเมื่อเทียบกับจีนแล้วถึงแม้ผลประกอบการน่าจะเติบโตในระดับเดียวกัน แต่การที่รัฐบาลจีนออกมาตรการถี่เกินไป ทำให้นักลทุนต้องถอยมาดูสถานการณ์ก่อนว่าจะตัดสินใจอย่างไร”
ส่วนราคาจะถึงขั้นฟองสบู่หรือไม่นั้น เขากล่าวว่า คงต้องดูเพราะมันมีหลายปัจจัยที่ต้องเช็กลิสต์ ซึ่งถ้าดูเรื่องการกู้เงินมาลงทุนตอนนี้คงไม่ใช่ หรือราคาหุ้นแพงเกินการเติบโตของเศรษฐกิจไปมากหรือยังตรงนี้ก็ยังไม่ใช่ แต่ที่สำคัญคือเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ถ้าเมื่อไรเศรษฐกิจชะลอตัว ผลประกอบการลดลง ก็อาจจะเห็นการปรับตัวลดลงตามวัฏจักรได้
“การที่ฟองสบู่มันจะแตกหรือไม่ ต้องดูด้วยว่าการปรับตัวขึ้นไปผูกอยู่กับภาพเศรษฐกิจจริงหรือเปล่า ไม่ได้ลากกันไปอย่างเดียว หรือการผลักดันราคาขึ้นเป็นกลุ่มแบบไหน ถ้าเฉลี่ยๆ กัน เป็นสถาบันด้วย เป็นรายย่อยด้วย น่าจะเป็นการกระจายตัวที่เหมาะสม ดังนั้น ถ้าถามว่าเป็นฟองสบู่หรือไม่ ก็คงต้องมีเช็กลิสต์อีกหลายปัจจัย”
นาวินยังบอกอีกว่า เรื่องที่น่าติดตามอีกเรื่องของหุ้นอินเดีย คือ มาตรการของ Fed ซึ่งถ้ามีการลดการซื้อสินทรัพย์อย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ไม่น่าจะส่งผลมากนัก เพราะนักลงทุนรับรู้ไปแล้วว่าสภาพคล่องจะหายไป แต่ถ้ามันเกินกว่าการคาดหมาย แน่นอนว่าจะกระทบหุ้นอินเดียด้วยเช่นกัน รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไรที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีขึ้นไปอยู่ที่ราวๆ 3% ก็จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งตอนนี้ผลตอบแทนในส่วนนี้ยังอยู่ที่ 1.3-1.4% เท่านั้น
นอกจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ความหลากหลายถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีก
ด้านสำนักข่าว Bloomberg รายงานถึงความนิยมหุ้น IPO ของอินเดียว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนสิงหาคม 2564 มีการเสนอขายหุ้น IPO ไปแล้วถึง 8.8 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่ายอดรวมของ 3 ปีที่ผ่านมา และกำลังจะทำลายสถิติเดิมในการระดมทุนผ่าน IPO ที่ 1.18 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนยังคงให้การตอบรับอย่างดีสำหรับหุ้นเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นที่เปิดเสนอขายแก่สาธารณะอย่าง Zomato Ltd. ที่ถึงแม้จะมีผลการดำเนินงานที่ไม่โดดเด่นนัก แต่ราคาหุ้นก็เพิ่มสูงขึ้นไปแล้วกว่า 70%
นอกจากนี้ยังมีสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรกของประเทศกำลังพิจารณาเสนอขายหุ้น IPO โดยหนึ่งในนั้นอย่าง ‘Paytm’ ผู้นำด้านการชำระเงินดิจิทัลของประเทศ ได้ยื่นเอกสารเสนอเบื้องต้น โดยมีเป้าหมายที่จะระดมเงินถึง 1.66 แสนล้านรูปี หรือประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์ จากการเสนอขายหุ้น IPO และเป็นการระดมทุนครั้งแรกที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย แซงหน้าบริษัทถ่านหิน Coal India Ltd. ที่รัฐเป็นเจ้าของในการระดมทุนครั้งแรกที่ 150 พันล้านรูปี
Pankaj Naik กรรมการบริหารบริษัทให้บริการด้านการเงิน Avendus Capital Pvt. ของอินเดีย ให้ความเห็นเอาไว้ส่วนหนึ่งด้วยว่า “หากนักลงทุนทั่วโลกต้องเลือกตลาดเกิดใหม่ การลงทุนในอินเดียดูมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น หลังจากการดำเนินการของจีนในการควบคุมการเติบโตของยักษ์ใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งอินเดียอาจไม่ดึงดูดเท่าจีนในแง่เศรษฐกิจที่กว้างขึ้น แต่ดูเหมือนจะมีความปลอดภัยมากกว่า”
ภาพเหล่านี้สะท้อนทิศทางตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจมากขึ้น และถือเป็นอีกตลาดที่มองข้ามไม่ได้ โดย บลจ.กสิกรไทย แนะนำถือหุ้นอินเดียในสัดส่วน 10-15% ของพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศ
สำหรับ 5 อันดับกองทุนหุ้นอินเดียที่ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมากสุด
- กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ให้ผลตอบแทน 36.06%
- กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอินเดียมิดแคปเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INDIAMRMF) ให้ผลตอบแทน 35.42%
- กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย แอคทีฟ อิควิตี้ ชนิดสะสมผลตอบแทน (TISCOINA-A) ให้ผลตอบแทน 34.25%
- กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ อินเดีย อิควิตี้ เอฟไอเอฟชนิดจ่ายเงินปันผล (KWI INDIA-D) ให้ผลตอบแทน 32.14%
- กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity (TMBINDAE) ให้ผลตอบแทน 26.50%
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร