วันนี้ (10 พฤษภาคม) ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เเสดงความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ใช้ชื่อว่า ‘สร้างทางเลือกการศึกษา ก่อนเปิดภาคเรียนฝ่าวิกฤตโควิด-19’ ให้ครู ผู้ปกครอง นักเรียน ยุค New Normal โดยมีรายละเอียดระบุว่า เรียน รมว.ศธ. (คุณตรีนุช เทียนทอง)
ผมได้เห็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ และเห็นกำหนดการในโปรแกรมอบรมครูทั่วประเทศที่ส่งต่อกันในไลน์อย่างกว้างขวางแล้ว เกิดข้อสงสัยอย่างยิ่งเกี่ยวกับคัดเลือกวิทยากรโดยระดมครูจากสถาบันกวดวิชา และเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมจากสถาบันเอกชนที่ขายคอร์สพัฒนาครูเป็นหลักมาอบรมครูในระบบนี้ เท่าที่ผมศึกษาดูจากนโยบายพัฒนาครูในหลายประเทศ ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ยังไม่พบว่ามีประเทศใดในโลกดำเนินการด้วยแนวทางนี้นะครับ
ธรรมชาติของงานที่ติวเตอร์ทำกับครูเต็มเวลาในโรงเรียนทำต่างกันมาก การดึงพวกเขามาไม่ใช่ความผิดพวกเขาเลย แต่มันสะท้อนว่าการกำหนดนโยบายยังขาดความเข้าใจเรื่องการศึกษา และไม่ได้กำหนดนโยบายบนฐานปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมปฏิรูปนิยม และมนุษยนิยมใหม่ อันเป็นหัวใจของการศึกษากระแสหลักที่มีคุณภาพทั่วโลก รวมทั้งระบุอยู่ใน พ.ร.บ. การศึกษาฉบับปัจจุบัน กิจกรรมตามนโยบายนี้สะท้อนชุดความคิดที่ยังติดอยู่ในโลกของการศึกษา 100 ปีที่แล้ว ที่คิดว่าต้องหาวิธีถ่ายทอด อธิบาย วิเคราะห์ให้ฟัง มองงานสอนเป็นงานเชิงเทคนิควิธีการมากกว่าการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน
ความรู้ว่าด้วยการพัฒนาครูประจำการ (In-service Teacher Development) ในระดับนานาชาติ เน้นการสร้างความแข็งแกร่งชองชุมชนเรียนรู้ของครู (TLC: Teacher Learning Community) ใช้การสืบสอบ (Inquiry) การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research) การศึกษาบทเรียน (Lesson Study) ทำให้ครูเป็นนักปฏิบัติที่ชำนาญขึ้นจากการไตร่ตรองสะท้อนคิด (Reflective Practitioner) และทำให้โรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC: School as Learning Community) ที่มีชีวิตชีวาสำหรับทุกคน
การอบรมแบบฟังอย่างเดียวให้ได้ Input แบบนี้หลายประเทศยกเลิกไปนานแล้ว ใช้เฉพาะวาระรับฟังนโยบายบางอย่างที่สำคัญมากๆ หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องระดับนานาชาติมาคุย
ในลิสต์รายชื่อวิทยากรที่มี ผมเชื่อว่าสำหรับครูไทยที่เก่งๆ ใฝ่รู้ รักดี ก้าวข้ามกำแพงภาษาพอได้เห็นเข้าคงส่ายหัว พวกเขาหาฟังประชุมออนไลน์นานาชาติที่มีวิทยากรดังๆ ระดับเอเชีย-แปซิฟิก ระดับโลก ได้ด้วย Free Webinar หรือเรียนผ่าน MOOC และ Coursera ได้มากมายทั้งในและต่างประเทศมาสักพักใหญ่แล้วนะครับ
ยิ่งไปกว่านั้นครูเก่งๆ ของเราเป็นวิทยากรอบรมระดับประเทศกันหลายคน พวกเขาน่าจะทำหน้าที่นี้ในการสื่อสาร แชร์ประสบการณ์จากห้องเรียนจริงๆ สร้างแรงบันดาลใจ และพูดจาภาษาห้องเรียนเช่นเดียวกับเพื่อนครูได้มากกว่า
ในอีกมุมหนึ่งปรากฏการณ์สะท้อนเรื่องใหญ่ที่สำคัญในการพัฒนาครู นั่นคือการขาดการเชื่อมต่อยึดโยง (Alignment) กับสถาบันเตรียมครูอย่างคณะครุศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ เป็นปัญหาทั้ง 2 ฝั่ง
กล่าวคือ กระทรวงศึกษาธิการก็มองไม่เห็นคุณค่า ไม่ศรัทธาเชื่อมั่น มองไม่เห็นทั้งความพร้อมที่มีอยู่ (Availability) และการเปิดให้สาธารณะเข้าถึงได้ (Accessibility) จากสถาบันครุศึกษา ในระดับสถาบันนะครับ ไม่ใช่การเชื้อเชิญเจาะจงตัวเป็นรายๆ ไป
ในอีกมุมหนึ่ง สถาบันครุศึกษาเหล่านี้ก็ทำตัวห่างเหิน ไม่แสดงภาวะผู้นำทางการศึกษา ไม่กระตือรือร้นมากพอที่จะร่วมรับผิดรับชอบกับสถานการณ์ปัญหาทางการศึกษา ลอยตัวจากความล้มเหลวของระบบมาอย่างยืดเยื้อเรื้อรังยาวนาน
พูดภาษาชาวบ้านคือ เขามองไม่เห็นหัวพวกท่าน เพราะพวกท่านไม่เคยอยู่ให้เห็นหัว
พอจะเห็นบางคน บางกลุ่ม ในบางสถาบันที่พยายามจัดกิจกรรมโปรแกรมพัฒนาครูอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นการดิ้นรนพยายามด้วยความมีแก่ใจจะร่วมรับผิดชอบระดับบุคคลและกลุ่ม โดยขาดแรงส่งจากกลไกเชิงสถาบันที่เป็นกลุ่มเป็นก้อน (เรายังมีสภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ฯ และที่ประชุมคณบดีครุศาสตร์ฯ กลุ่ม 16+1 และกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ อยู่นะครับ)
แม้กระทรวงศึกษาธิการจะไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการสั่งการ และรีบูตบทบาทหน้าที่ให้คณะครุศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ แต่เป็นหลักการพื้นฐานที่กระทรวงศึกษาธิการ หรือ MOE ทั่วโลกต้องทำ คือทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับสถาบันเตรียมครู พัฒนาครู อย่างคณะครุศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์
ถ้าพวกเขามองไม่เห็นบทบาทหน้าที่นี้ ท่านก็ต้องหารือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้จัดแพลตฟอร์มหารือกัน
เปรียบเทียบโดยง่าย กำลังเจอโจทย์ยากทางการแพทย์ เช่น โรคระบาด ไม่มีประเทศใดจะกะเกณฑ์หมอ พยาบาล มานั่งฟังบรรยายจากนักเทคนิคการแพทย์ หรือตัวแทนจำหน่ายยา ซึ่งทำหน้าที่ในฟังก์ชันอื่นมาอธิบายแนะนำ ‘เครื่องมือ’ และ ‘สินค้า’ แต่เขาจะสนับสนุนให้ระบบผู้ให้คำปรึกษา (Consultation) ระหว่างหมอและพยาบาลด้วยกันเข้มแข็ง ฟีดข้อมูลจากงานวิจัยและข้อมูลที่อัปเดตที่สุดให้คนทำงานภาคสนาม
ผมหาได้กล่าวโทษหรือดูแคลนวิทยากรทุกท่านในลิสต์ พวกเขาแค่ถูกเชิญและเป็นการเลือกกำหนดโจทย์ที่ผิดจากผู้กำหนดนโยบาย
ผมเข้าใจว่าท่านรัฐมนตรีในฐานะผู้มาใหม่ของวงการย่อมถูกห้อมล้อม ให้คำแนะนำ และมีคนพยายามขอเข้าพบจำนวนมากจากสารพัดบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจการศึกษา และพร้อมเสนอความช่วยเหลือด้วยความหวังดีห่วงใย
น่าสนใจว่าเราเปลี่ยนรัฐมนตรีมาไม่รู้กี่คน แต่ปัญหาเหล่านี้ยังคงอยู่ในเครือข่ายระหว่างเทคโนแครต ข้าราชการระดับสูง และหน่วยธุรกิจเหล่านี้ น่าจะแข็งแกร่งเป็นกำแพงเหล็กที่ท่านคงต้องพยายามหาทางเจาะช่องรับฟังสื่อสารกับครูที่เป็นคนทำงานที่หน้างานให้มากขึ้น
ฟังเสียงครู เสียงเด็กๆ ที่เป็นผู้เรียนให้มากที่สุด ทำความเข้าใจกลไกเชิงระบบ จัดทีมศึกษาข้อมูลแนวปฏิบัติที่ดีจากต่างประเทศ แล้วกำหนดแผนการทำงานที่เป็นประโยชน์ บนหลักวิชา ความรู้ และงานวิจัย
ผมมีข้อเสนอ 3 ข้อสำหรับช่วงเลื่อนเปิดเทอม 11 วัน
- สนับสนุนให้ทุกโรงเรียนมีการจัดการประชุมออนไลน์ถอดบทเรียนการทำงานในรอบปีที่ผ่านมา ครูทุกคนได้มีประสบการณ์ตรงและลงมือแก้ปัญหามาหมดแล้ว ทั้ง Online (เลื่อมเวลา/ประสานเวลา) - On Air – On Screen – On Hand – On Site รวมทั้ง Hybrid
ไม่มีติวเตอร์หรือนักวิชาการเจอบริบทการสอนการทำงานแบบเดียวกับคุณครูในช่วง เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2563 และธันวาคม 2563 ถึงมกราคม 2564 ที่ต้องจัดกิจกรรมการเรียนทั้ง 5 ช่องทางนี้ผสมกัน
คุณครูเท่านั้นที่เคยล้มเหลว เรียนรู้ หลายคนปรับตัว จนเกิดแนวปฏิบัติที่ดี สามารถแลกเปลี่ยน ให้คำแนะนำเพื่อนครูร่วมโรงเรียนได้
การรับมือสถานการณ์นี้ เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของเพื่อนครูโรงเรียนอื่น ผู้สอนในบริบทอื่นได้ แต่เรื่องสำคัญคือการแลกเปลี่ยนกันเองกับครูที่ดูแลนักเรียนในบริบทเดียวกัน วิธีที่ใช้ได้กับโรงเรียนขนาดกลางระดับชุมชนเมือง ไม่อาจใช้ได้กับโรงเรียนในพื้นที้ห่างไกล หรือกระทั่งโรงเรียนใหญ่ในเมือง
และต่อให้ขนาดใกล้เคียงกันโรงเรียนในบริบทเด็กหลากชาติพันธุ์ เด็กในบริบทวัฒนธรรมเฉพาะ และเด็กที่มีพื้นเพ สถานะ ความพร้อมสนับสนุนของครอบครัวก็ไม่อาจเหมือนกัน
ให้เวลาคุณครูได้คุยหารือ ได้พัก ได้เตรียมตัวสอนเถิดครับ ดีกว่าบังคับให้เปิดหน้าจอเช็กชื่ออบรมออนไลน์กับใครก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้เข้าใจปัญหาเฉพาะหน้าที่ครูกำลังต้องเผชิญ แล้วก็ต้องแอบปิดกล้องนั่งประชุมเตรียมสอนกันไป
และฝากโจทย์ให้คุณครูขบคิดวิธีการทำความรู้จักสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับนักเรียนในการสอนทางไกลตั้งแต่สัปดาห์แรกของเทอม
- ให้เด็ก ๆ ได้พัก ได้เล่นสนุกตามใจบ้างเถิดครับในช่วง 11 วันที่เลื่อนเปิดเทอม เด็กๆ ล้ามาเต็มทีกับการเรียนปนไปปนมาระหว่างออนไลน์/ออฟไลน์ หลายคนเครียด เบื่อ เหนื่อยล้า หมดแรงจูงใจไปแล้ว รวมทั้งอีกไม่น้อยที่ซึมชับรับรู้ความเครียดทางเศรษฐกิจ และความหวั่นกลัวการติดเชื้อร่วมกับผู้ใหญ่
ให้เขาได้เล่น ได้มีเวลาว่างสัก 11 วัน ถ้าท่านเกรงว่าจะสูญเปล่า แนะนำว่าให้โรงเรียนประสานงานกับเด็กล่วงหน้าว่าไม่มีงาน ไม่มีการบ้าน ให้เล่นเต็มที่ แต่ฝากให้เขียนสั้นๆ หรือวาดอะไร เตรียมมาเล่าให้เพื่อนและครูฟังในวันแรกที่ได้เปิดเทอมว่า ‘11 วันที่ได้มีเวลาว่าง ฉันทำอะไร’
- หารือด่วนกับ อว. และเครือข่ายสถาบันครุศึกษา เชิญชวนผู้นำองค์กรของกลุ่มมหาวิทยาลัยที่มีคณะครุศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ หารือ ร่วมกันแบ่งพื้นที่ดูแลสนับสนุนงานคุณครูในช่วงภาคการศึกษาต้น ไม่มีงบประมาณก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ทุกสถาบันภายใต้มหาวิทยาลัยถูกกำกับด้วยตัวชี้วัดต้องให้บริการวิชาการอยู่แล้ว ทำเป็นออนไลน์แพลตฟอร์ม ให้เรียนรู้สนับสนุนยึดโยงกันระหว่างโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยไหนที่ส่งนิสิตนักศึกษาลงฝึกสอนต้องร่วมสนับสนุนงาน โรงเรียนนั้น และโรงเรียนใดที่ไม่ใช่พื้นที่ฝึกงานของนิสิตนักศึกษา ก็ควรจัดโซนพื้นที่ระดมพลังช่วยสนับสนุนกัน
ทั้งหมดนี้คือข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่อยากนำเรียนฝากไว้เพื่อพิจารณาใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่รอบคอบ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: