×

พิธีศพไทยมาจากไหน? จากขวัญหาย-ฝังไห สู่โกศและราชรถ

17.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • บทความนี้คัดย่อและเรียบเรียงจากบทความ ‘คนตายเพราะขวัญหาย ต้องทำพิธีเรียกขวัญนานหลายวัน: งานศพปัจจุบันสืบทอดพิธีกรรมหลายพันปีมาแล้ว’ โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ เสด็จสู่แดนสรวง ศิลปะ ประเพณี และความเชื่อในงานพระบรมศพและพระเมรุมาศ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ เป็นบรรณาธิการ จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมิวเซียมสยาม

     งานศพในไทยมีการจัดต่อเนื่องยาวนานหลายวันหลายคืน มีมหรสพร้องรำทำเพลง ดีดสีตีเป่าสนุกสนานด้วยฆ้องกลองปี่

     ทั้งหลายนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องขวัญในศาสนาผีของอุษาคเนย์หลายพันปีมาแล้ว

 

ภาพคัดลอกจากภาพเขียนถ้ำลายแทง บ้านผาสามยอด ต. ผานกเค้า อ. ภูกระดึง จ. เลย จากหนังสือ ‘ศิลปะถ้ำ จังหวัดเลย’ (พเยาว์ เข็มนาค เรียบเรียง) กรมศิลปากร พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2534

 

     มีข้อสันนิษฐานว่าภาพเขียนถ้ำลายแทง อ. ภูกระดึง จ. เลย (ด้านบน) น่าจะเป็นงานศพหรือพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายยุคดึกดำบรรพ์เมื่อหลายพันปีก่อน

     ภาพนี้บอกอะไรมากมายที่เชื่อมโยงและส่งต่อมาถึงพิธีศพของไทยในปัจจุบัน

 

     ชุมชนยุคแรกเริ่มเมื่อหลายพันปีมาแล้ว มีคนต่างระดับ ได้แก่ คนตระกูลผู้นำ กับคนธรรมดาสามัญชนทั่วไป ด้วยเหตุนี้พิธีศพของคนในสังคมจึงต่างกัน

     พิธีศพตระกูลผู้นำ ได้แก่ หมอผี หัวหน้าเผ่า จะมีพิธีกรรมกำหนดกฎเกณฑ์เป็นแบบแผน ในหลุมศพพบโครงกระดูกและเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งทำจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในเวลานั้น เช่น เครื่องมือโลหะสำริด เหล็ก ฯลฯ

     ขณะที่พิธีศพของคนทั่วไป เข้าใจว่าเมื่อเสร็จสิ้นพิธีเรียก ‘ขวัญ’ น่าจะทิ้งร่างไว้กลางทุ่งหรือกลางป่า ปล่อยให้แร้งกากินซากศพ

 

     ในย่อหน้าที่แล้ว คุณน่าจะสังเกตเห็นคำว่า ‘ขวัญ’ ซึ่งเป็นความเชื่อของคนพื้นเมืองอุษาคเนย์ที่นับถือศาสนาผีตั้งแต่หลายพันปีมาแล้วสืบจนทุกวันนี้

     ซึ่งเชื่อว่า ‘คนตายเพราะขวัญหาย’ จากร่างของคนแล้วหาทางกลับร่างไม่ถูก

     ถ้าเรียกขวัญคืนร่างได้ คนก็ฟื้นคืนเป็นปกติ จึงมีพิธีเรียกขวัญต่อเนื่องหลายวันหลายคืน ขอให้ขวัญกลับเข้าร่าง

     ดังนั้นเมื่อมีคนตาย เครือญาติพี่น้องต้องเชิญหมอผีหมอขวัญมาขับลำคำคล้องจองทำพิธีเรียกขวัญหลายวันหลายคืน ทั้งชุมชนจะตีเกราะเคาะไม้ประโคมฆ้องกลองปี่ร้องรำทำเพลงเต้นฟ้อนสนุกสนานเฮฮา ส่งเสียงอึกทึกกึกก้องให้ดังที่สุดให้ขวัญได้ยิน ขวัญจะได้กลับถูกทางและคืนร่าง

     ระหว่างการเรียกขวัญจะใช้ ‘คำเรียกขวัญ’ (ปัจจุบันเรียก ‘บทส่งผี’) ขับลำนำในงานศพ ซึ่งมีโครงสร้างสำคัญ 2 ส่วนคือ

     ส่วน ‘เรียกผีขวัญกลับ’ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในป่า บนบก ในน้ำ ขอให้ผีขวัญกลับเรือนและบอกให้ผีขวัญ (ขวัญที่แยกตัวหนีไป) รู้ตัว

     และส่วน ‘บอกทางผีขวัญไปเมืองฟ้า’ (ขึ้นไปบนฟ้า รวมพลังกับผีบรรพชนที่สิงสถิตอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เพื่อปกป้องคุ้มครองชุมชนกับเครือญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์)

     หมอผี หรือหมอขวัญ จะสวดส่วนที่หนึ่งหลายวันหลายคืนเพื่อเรียกผีขวัญกลับร่าง ครั้นสวดนานจนเห็นว่าขวัญไม่กลับถาวรแล้วจึงสวดส่วนบอกทางผีขวัญไปเมืองฟ้า

 

‘งันเฮือนดี’ พิธีเรียกขวัญคืนร่างคนตายยุคดึกดำบรรพ์ราว 2,500 ปีมาแล้ว มีหมอขวัญกับหมอแคนขับลำคำคล้องจองทำนองง่ายๆ เป่าแคนคลอแล้วฟ้อนประกอบ

 

     มหรสพที่มีการตีเกราะเคาะไม้ประโคมฆ้องกลองปี่ร้องรำในพิธีเรียกขวัญคืนร่างคนตายเรียกว่า ‘งันเฮือนดี’ หมายถึง การละเล่นรื่นเริงบนเรือนที่มีคนตาย

     ต่อมางันเฮือนดีหลายวันหลายคืนถูกปรับเปลี่ยนเป็นสวดอภิธรรมเมื่อหลังรับศาสนาและอารยธรรมจากอินเดีย-ลังกาสืบจนทุกวันนี้ โดยยกศาสนาพุทธมาเคลือบผี เพราะตามประเพณีในอินเดียไม่มีสวดอภิธรรมศพ “เมื่อมีผู้วายชนม์ก็จะห่อหุ้มศพด้วยผ้าประดับดอกไม้วางบนแคร่ และนำไปประชุมเพลิงทันที” (จากบทความเรื่อง พิธีเกี่ยวกับความตายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดย คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 21-27 ตุลาคม 2559 หน้า 81)

     จะเห็นว่างันเฮือนดีในอีสานและในกลุ่มไทเป็นพิธีกรรมสืบเนื่องจากชุมชนดึกดำบรรพ์หลายพันปี ก่อนจะส่งทอดไม่ขาดสายและนับเป็นต้นทางงานศพของไทยซึ่งพบได้ทั่วไป

     มีปรากฏในวรรณกรรมราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น

     ‘อิเหนา’ บทละครพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 พรรณนาการละเล่นสนุกสนานเฮฮางานพระเมรุที่เมืองหมันหยา

     ‘ขุนช้างขุนแผน’ แต่งหลังรัชกาลที่ 2 พระพันวษาสั่งประหารชีวิตนางวันทอง แล้วมีงานศพที่มีการละเล่นมหรสพหลายอย่าง คนดูทุกชนชั้นสนุกโลดโผนเฮฮา

 

     หลังเสร็จสิ้นพิธีเรียกขวัญซึ่งใช้เวลานานจนเนื้อหนังคนตายเน่า ขวัญก็ยังไม่กลับมา จากนั้นจึงเอาศพฝังดินโดยใส่ในภาชนะต่างๆ เช่น ดินเผา (ยังไม่มีโลงศพ) แล้วฝังใต้ถุนเรือนหรือลานกลางบ้าน ด้วยหวังว่าขวัญจะคืนร่าง

     ภาชนะดินฝังศพมีทั้งรูปร่างก้นกลมมน (เหมือนหม้อดินเผา) และทรงกระบอกยาว (เหมือนแคปซูล) ส่วนการฝังจะฝังศพนั่ง มัดศพท่างอตัว บรรจุทั้งร่างในภาชนะดินเผาทรงกลม มีสิ่งของอุทิศขนาดเล็กๆ ใส่รวมด้วย ปิดฝา และฝังดินในแนวตั้ง

 

ลายเส้นจำลองลักษณะของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า พระศพงอเข่าอยู่ในพระบรมโกศทองใหญ่ หลังเสด็จสวรรคต พ.ศ. 2409 (สรุปจากคำอธิบายและภาพของไกรฤกษ์ นานา ภาพจากหนังสือ ‘เดินทางรอบโลก’ (Voyage Author Du Monde) ของเคาน์โบวัว พ.ศ. 2411)

 

     ทั้งนี้ภาชนะใส่ศพหรือใส่กระดูกคนตาย (ที่ขุดขึ้นมาหลังเนื้อหนังเน่าเปื่อยหมดแล้ว) มีรูปร่างคล้ายผลน้ำเต้าที่ทั้งกลมและยาว แต่ผลที่กลมรีมีเอวคอดดูคล้ายมดลูกของแม่ ซึ่งเสมือนคืนสู่ครรภ์มารดา และสอดคล้องกับคำบอกเล่าดั้งเดิมว่าคนมีกำเนิดจากผลน้ำเต้า ล้วนเป็นต้นแบบ ‘โกศ’ สมัยหลังๆ จนปัจจุบัน

 

เรือส่งขวัญคนตายขึ้นฟ้าไปทางน้ำ การแต่งกายและท่าทางของผู้โดยสารที่อาจหมายถึงขวัญของคนตาย เพราะมีลักษณะเดียวกับท่าทางและการแต่งศพของคนพื้นเมืองปัจจุบันทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ (ลายเส้นบนภาชนะบรรจุกระดูกอายุราว 2,500 ปีมาแล้ว พบในถ้ำมานุงกัล ฟิลิปปินส์ จากหนังสือ The Tabon Cave: Archaeological explorations and excavations on Palawan Island โดย โรเบิร์ต บี ฟ็อกซ์ ปี 1970)

 

     เมื่อขวัญหายไปถาวร คนตายไม่ฟื้น ต้องทำพิธีส่งขวัญขึ้นเมืองฟ้า เชิญผีขวัญล่องแพไปทางน้ำอันเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองฟ้า

     มากกว่า 2,500 ปีมาแล้ว คนเชื่อว่าหมาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ให้กำเนิดคน และมีอำนาจนำทางผีขวัญที่ไม่คืนร่างไปรวมพลังกับผีบรรพชนที่อยู่บนฟ้า

 

หมานำขวัญของคนตายสู่เมืองฟ้าไปทางน้ำ รูปหมาเหมือนจริง แต่รูปคนไม่เหมือนจริง เพราะต้องการแสดงรูปร่างของบรรพชนที่ตายไปนานแล้ว (ลายเส้นจำลองภาพเขียนสีอายุราว 2,500 ปีมาแล้ว ณ เขาจันทน์งาม อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา)

 

     ความเชื่อเมืองฟ้าไปทางน้ำหลังรับพุทธและพราหมณ์ยังสืบเนื่องในงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินไปทางน้ำโดยเรือนาคตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ. 1000 กระทั่งหลัง พ.ศ. 2000 ยุคต้นอยุธยา (ก่อนมีพระเมรุมาศ)

 

เรือพระราชพิธียุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (ลายเส้นฝีมือชาวยุโรป พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2231)

 

     ต่อมาเมื่อเกิดประเพณีออกพระเมรุมาศ การไปเมืองฟ้าไม่จำเป็นต้องไปทางเรืออีก เพราะจัดที่ลานสนามหน้าจักรวรรดิ (ด้านตะวันออกของวังหลวง อยุธยา) หรือที่กรุงเทพฯ เรียกว่าสนามหลวง

     ส่วนพาหนะที่เชิญพระบรมศพหรือพระโกศ แม้จะสร้างเป็นราชรถ แต่ส่วนหัวและหางยังเป็นลวดลายสัญลักษณ์ของนาคเหมือนเดิม

     ในท้องถิ่นอีสานทุกวันนี้ งานศพพระสงฆ์จะเชิญศพด้วยรถที่แต่งเป็นนาค แม้ตามวัดวาอารามปัจจุบันที่มีเมรุเผาศพ จะมีรถเชิญศพแต่งเป็นรูปนาคเช่นกัน

 

พระมหาพิชัยราชรถทำกระหนกคล้ายเศียรนาคสัญลักษณ์โขนเรือนาค ภาพโดย ฐานิส สุดโต

 

     ในบทสรุปตอนท้ายของบทความ ‘คนตายเพราะขวัญหาย ต้องทำพิธีเรียกขวัญนานหลายวัน: งานศพปัจจุบันสืบทอดพิธีกรรมหลายพันปีมาแล้ว’ ซึ่งผู้เรียบเรียงได้คัดย่อมา สุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เขียนระบุว่า

     “ความเชื่อเรื่องขวัญยังเป็นแกนสำคัญเหมือนเดิมไม่หมดไป แม้เปลี่ยนจากฝังศพลงดินเป็นเผาศพด้วยไฟตามประเพณีใหม่ในศาสนาพราหมณ์-พุทธ…”

     และ

     “พิธีศพไทยปัจจุบันมีหลักฐานและร่องรอยทางประวัติศาสตร์โบราณคดีสนับสนุนหนักแน่นว่าสืบเนื่องนับพันๆ ปีมาแล้ว จากพิธีกรรมของสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์

     “เท่ากับคนไทยไม่ได้มาจากไหน? แต่อยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์”

     พร้อมกับขยายความคำว่า ‘ไทย’

     “ไทย เป็นชื่อทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ เพราะเชื้อชาติไทยบริสุทธิ์ ไม่เคยมีในโลกตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน คนไทยเป็นลูกผสมนานาชาติพันธุ์ร้อยพ่อพันแม่ อยู่บริเวณสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ มีประเพณีเกี่ยวกับความตายอย่างเดียวกันกับบรรพชนคนสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์เมื่อหลายพันปีมาแล้ว”

 

     ทั้งนี้บรรทัดสุดท้ายของบทความ ผู้เขียน (สุจิตต์ วงษ์เทศ) ได้ขอบคุณ รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล, พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ นักวิชาการร่วมสมัยที่ก้าวหน้าและกรุณาแนะนำข้อมูลความรู้เพิ่มเติมหลายอย่าง

     ส่วนผมในฐานะผู้เรียบเรียง ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงไปแล้ว และคณะผู้จัดทำหนังสือ เสด็จสู่แดนสรวง ศิลปะ ประเพณี และความเชื่อในงานพระบรมศพและพระเมรุมาศ ที่กรุณาทำหนังสือที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีพระบรมศพและพระเมรุด้วยความอุตสาหะ

     ซึ่งผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมหรือต้องการอ่านบทความฉบับเต็ม สามารถดาวน์โหลดหนังสือเล่มนี้ได้ฟรีที่ drive.google.com/file/d/0B5BpTtXUXhCeX09XYkRHbm1OZGc/view

 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X