วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU ได้เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยในหัวข้อ ‘Silver Age Technology Adoption’ ซึ่งลบภาพจำเดิมๆ ที่ว่าผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน โดยผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่ากลุ่มคนวัย 50 ปีขึ้นไป หรือ ‘Silver Age’ ได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นผู้บริโภคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบแล้วในปัจจุบัน
ข้อมูลเชิงสถิติยืนยันชัดเจนว่า กลุ่มเป้าหมายนี้กว่า 95% ครอบครองสมาร์ตโฟนเป็นของตนเอง และอีกกว่า 61% มีแท็บเล็ตไว้ใช้งาน ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ได้กลายเป็นประตูสำคัญที่พาพวกเขาเข้าสู่โลกออนไลน์ ส่งผลให้พฤติกรรมการเสพสื่อและการติดต่อสื่อสารเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีการใช้แอปพลิเคชันอย่าง LINE และ Facebook เป็นช่องทางหลักในการเชื่อมต่อกับสังคม
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสองปรากฏการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ นั่นคือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ ข้อมูลจากปี 2567 ระบุว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงขนาดของตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่น่าจับตามองคืออัตราการใช้อินเทอร์เน็ตในกลุ่มผู้สูงวัยที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากเพียง 18.20% ในปี 2560 พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 69.30% ในปี 2567 ปัจจุบันมีผู้สูงอายุวัย 50 ปีขึ้นไปกว่า 19.6 ล้านคนใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลในชีวิตประจำวัน โดยใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยสูงถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับคนวัยทำงาน
ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ ได้กล่าวในงานสัมมนาว่า สังคมสูงวัยไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรผู้สูงอายุ แต่คือการเปลี่ยนโครงสร้างความต้องการของประเทศทั้งระบบ ตั้งแต่เรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย ไปจนถึงคุณภาพชีวิต ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งปรับตัว
การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในตลาดเศรษฐกิจสูงวัย หรือ ‘Silver Economy’ ซึ่งทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ร่วมกับสภาพัฒน์ฯ ได้คาดการณ์ว่าตลาดนี้จะมีมูลค่าเติบโตสูงถึง 3.5 ล้านล้านบาท ภายในปี 2576 ผู้ประกอบการที่เข้าใจอินไซต์นี้จึงจะได้เปรียบในการแข่งขัน
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 621 คน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป จนถึงมากกว่า 150,000 บาทต่อเดือน กลุ่มนี้จึงไม่ใช่แค่ผู้สูงวัยทั่วไป แต่เป็นตลาดแห่งคุณค่าที่การตัดสินใจซื้อขับเคลื่อนด้วยความรู้และความคาดหวังในคุณภาพมากกว่าราคา
ในด้านพฤติกรรมการใช้งานแพลตฟอร์มเพื่อความบันเทิง YouTube ครองแชมป์อันดับหนึ่งที่ 90% ตามมาด้วย Netflix ที่ 56% ส่วนการซื้อสินค้าออนไลน์ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดย Shopee เป็นแพลตฟอร์มหลักที่ 73% ตามด้วย Lazada และ TikTok Shop แสดงให้เห็นความคุ้นเคยกับระบบอีคอมเมิร์ซ
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจที่สุดคือการยอมรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยพบว่ากลุ่ม Silver Age กว่า 94% เคยใช้งาน AI มาแล้ว ซึ่งเครื่องมือยอดนิยมอันดับหนึ่งคือ ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานถึง 72% รองลงมาคือ Google Gemini และ Microsoft Copilot โดยส่วนใหญ่นำมาใช้เพื่อค้นหาข้อมูลและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
งานวิจัยยังค้นพบอินไซต์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับความแตกต่างทางเพศ โดยพบว่าผู้ชายวัย 50+ มีแนวโน้มเป็นกลุ่มเปิดรับเทคโนโลยีด้านสุขภาพ หรือ ‘Health Tech’ เร็วกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์แจ้งเตือนฉุกเฉิน หรือแอปพลิเคชันปรึกษาแพทย์ทางไกล เพราะผู้ชายมีแนวคิดที่มุ่งเน้นการจัดการและการป้องกันความเสี่ยงที่จับต้องได้
ในทางกลับกัน ผู้หญิงมีระดับความกังวลสูงกว่าผู้ชายในทุกมิติ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ปัจจัยด้านรายได้ก็มีผลต่อความกังวลเช่นกัน กลุ่มรายได้ปานกลางจะกังวลเรื่องความปลอดภัยมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มรายได้สูงซึ่งมีความมั่นคงทางการเงินแล้ว จะหันไปโฟกัสกับความกังวลเรื่องสุขภาพร่างกายเป็นหลัก
แม้จะเปิดรับเทคโนโลยี แต่ก็ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการใช้งาน นั่นคือความซับซ้อนของระบบและฟังก์ชันที่ยุ่งยากเกินไป รวมถึงปัญหาทางกายภาพ เช่น ตัวหนังสือที่มีขนาดเล็ก และความหวาดกลัวเรื่องข้อมูลรั่วไหลหรือการถูกหลอกลวง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนวัยนี้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก่อนตัดสินใจใช้งาน
ปัจจัยที่ช่วยทลายกำแพงความกังวลได้ดีที่สุดไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือคำแนะนำจากแหล่งข้อมูลที่ไว้ใจได้ โดยผลสำรวจระบุว่าช่องทางออนไลน์ของแบรนด์โดยตรง หรือ Owned Media ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดถึง 59% รองลงมาคือรีวิวจากผู้ใช้จริง และคำแนะนำจากคนในครอบครัว
เพื่อเจาะตลาดกลุ่มนี้ให้สำเร็จ ภาคธุรกิจควรนำกลยุทธ์ ‘5A Star metrix Framework’ ไปประยุกต์ใช้ เริ่มจาก Accessibility หรือการเข้าถึง เทคโนโลยีต้องถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เป็นมิตรกับผู้ใช้ และลดทอนความยุ่งยากซับซ้อน เพื่อไม่ให้ประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตกลายเป็นกำแพงปิดกั้นการเรียนรู้สิ่งใหม่
ต่อมาคือ Assurance หรือความมั่นใจ เทคโนโลยีต้องสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ผ่านการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญ และมีรีวิวที่ตรวจสอบได้จริง ถัดมาคือ Autonomy หรือความเป็นอิสระ เครื่องมือเทคโนโลยีควรช่วยเสริมพลังให้ผู้สูงวัยสามารถดูแลตัวเองได้ และดำรงชีวิตได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา
ปัจจัยที่สี่คือ Affordability หรือความคุ้มค่า กลุ่ม Silver Age ไม่ได้มองหาของที่ถูกที่สุด แต่ต้องการราคาที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับคุณค่าที่ได้รับ การสื่อสารให้เห็นถึงความคุ้มค่าในระยะยาวจึงเป็นกุญแจสำคัญ และสุดท้ายคือ Affinity หรือความผูกพัน เทคโนโลยีควรเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัว
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้งบ้าน หรือมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ลูกหลานมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุ จะมีโอกาสถูกตัดสินใจซื้อสูงกว่า เพราะสำหรับคนวัยนี้ ความอุ่นใจจากการได้เชื่อมต่อกับลูกหลานคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และหากเทคโนโลยีสามารถตอบโจทย์ทั้งความสะดวกและความสัมพันธ์ได้ ก็จะสามารถชนะใจชาว Silver Age ได้อย่างยั่งยืน
ธนาวรรณ กล่อมจิตร์ หัวหน้าทีมวิจัย ทิ้งท้ายว่า การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการที่แท้จริงของกลุ่ม Silver Age จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ สร้างการยอมรับ และคว้าโอกาสจากเศรษฐกิจสูงวัยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในสังคมไทยให้ก้าวทันโลกยุค AI ได้อย่างยั่งยืน


