×

เปิดเทรนด์ โฆษณา ไทย ปี 69 ทีวีร่วง AI รุ่ง พร้อม เข้าสู่ปีแห่งการ Call Out แบรนด์ไม่แสดงจุดยืน เตรียมโดนผู้บริโภคเมิน

30.12.2025
  • LOADING...
เปิดเทรนด์ โฆษณา ไทย ปี 69 ทีวีร่วง AI รุ่ง พร้อม เข้าสู่ปีแห่งการ Call Out แบรนด์ไม่แสดงจุดยืน เตรียมโดนผู้บริโภคเมิน

HIGHLIGHTS

  • เศรษฐกิจไทยโตรั้งท้ายอาเซียน MI GROUP คาด เม็ดเงินโฆษณาไทยปี 69 ส่อเค้าซึมยาว MI GROUP พบปัจจัยลบรุมเร้า จับตาเลือกตั้งเป็นความหวังเดียว โดยสื่อหลักอย่างทีวียังคงหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่สื่อนอกบ้าน (OOH) และ สื่อดิจิทัลเติบโตได้ดี รับแรงหนุนจากผู้บริโภครุ่นใหม่อย่าง Gen Y, Gen Z และ Gen Alpha ที่มีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
  • ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการตลาดมอง ปี 2026 จะเป็น ‘ปีแห่งการ Call Out’ ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกสนับสนุนแบรนด์ที่แสดงจุดยืนทางสังคม ในทางกลับกัน แบรนด์ที่วางตัวเป็นกลางอาจไม่ได้รับความสนใจ และยังเริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนผ่านจากยุคของอินฟลูเอนเซอร์ระดับท็อป ไปสู่การใช้ Nano และ Micro Influencer มากขึ้น
  • ในมิติของสื่อและ คอนเทนต์ นักการตลาดจำเป็นต้องชนะใจผู้บริโภคให้ได้ตั้งแต่ 6 วินาทีแรก ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปถาม AI มากกว่าการคลิกค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิน แบรนด์จึงต้องปรับกลยุทธ์การสื่อสารใหม่ ไม่เพียงแค่สร้างคอนเทนต์ให้โดดเด่น แต่ต้องออกแบบเนื้อหาให้กลายเป็นคำตอบที่ AI เลือกหยิบไปแนะนำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง

ในวันที่เศรษฐกิจอาเซียนกำลังติดปีกด้วยตัวเลข GDP ที่โตวันโตคืน แต่ทำไมประเทศไทยกลับถูกมองว่ากำลัง ‘รั้งท้าย’ และ เผชิญกับภาวะเปราะบางรอบด้าน ยิ่งเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ปี 2026 โจทย์ของธุรกิจไม่ใช่แค่การอยู่รอด แต่คือการรับมือกับ AI ที่คิดแทนมนุษย์ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปถามแชตบอต และ ยุคที่อินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้วัดกันที่ยอดฟอล แต่ต้องวัดกันที่ยอดขาย THE STANDARD WEALTH ชวนหาคำตอบจากบทวิเคราะห์ 3 กูรูแถวหน้าในวงการตลาดที่จะมาฉายภาพฉากทัศน์ใหม่ ที่แบรนด์ไทยต้องรู้ ถ้าไม่อยากตกขบวนในโลกที่ไร้สมดุลนี้

 

เริ่มจาก ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป หรือ MI GROUP ได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคว่า ฉากทัศน์การเติบโตของ GDP กลุ่มประเทศอาเซียนในช่วงปีข้างหน้า ยังคงอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก โดยคาดว่าจะขยายตัวราว 4.3–4.8% ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักยังมาจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ในบริบทเดียวกัน ประเทศไทยกลับอยู่ในกลุ่มเกือบรั้งท้ายของอาเซียน ด้วยอัตราการเติบโตที่คาดการณ์ไว้เพียง 1.6–2% สะท้อนความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

 

เปิดเทรนด์ โฆษณา ไทย ปี 69 ทีวีร่วง AI รุ่ง พร้อม เข้าสู่ปีแห่งการ Call Out แบรนด์ไม่แสดงจุดยืน เตรียมโดนผู้บริโภคเมิน 1

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป

 

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ตั้งแต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลโดยตรงต่อการค้าการขายของผู้ประกอบการ ไปจนถึงปัญหากำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

 

โดยสิ่งที่ยังพอเป็นความหวังคือความพยายามของภาครัฐในการยระดับโครงสร้างการผลิตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือภาคเกษตรรูปแบบใหม่ แต่คำถามสำคัญคือ ไทยจะสามารถยกระดับอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้จริงหรือไม่ เพราะหากไม่สามารถขยับได้ทัน ประเทศก็มีความเสี่ยงสูงที่จะตกขบวนในการแข่งขันระยะยาว

 

ไม่เว้นแม้แต่ภาคการส่งออกก็เผชิญความไม่แน่นอน โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทย ซึ่งเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 19% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเองก็ยังต้องลุ้นว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ท่ามกลางแนวโน้มสังคมสูงวัยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลทั้งโครงสร้างแรงงานและภาระงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว

 

ส่วนในมิติการแข่งขันจากต่างประเทศ ภวัตชี้ว่า นโยบายด้านการกำกับดูแลสินค้า เช่น มาตรการของ FDA รวมถึงสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามา รวมถึงการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ ที่เริ่มคิดภาษีตั้งแต่บาทแรก จากเดิมที่ยกเว้นมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตา ว่าจะสร้างอานิสงส์เชิงบวกให้ผู้ประกอบการไทยได้จริงหรือไม่ ทั้งหมดล้วนเป็นโจทย์ใหญ่ของผู้ประกอบการไทยในปี 2026

 

สำหรับกลุ่มที่จะมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภวัตมองว่า จะเป็นกลุ่มผู้บริโภคเจเนอเรชันใหม่ ได้แก่ Gen Y, Gen Z และ Gen Alpha รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส มีส่วนช่วยกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่ายในระยะสั้น และทำให้ตลาดเริ่มมีความคาดหวังต่อโครงการคนละครึ่งเฟสถัดไปในช่วงต้นเดือนมกราคม

 

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมปัจจัยต่างๆ ยังถือว่าเป็นแรงกดดันเชิงลบมากกว่าบวก แม้จะยังมีมาตรการภาครัฐบางส่วน เช่น โครงการช่วยลดหนี้ และการสนับสนุน SMEs ที่อาจช่วยประคองสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง

 

เม็ดเงินโฆษณาไทยปี 69 ส่อเค้าซึมยาว ปัจจัยลบรุมเร้า จับตาเลือกตั้งเป็นความหวังเดียว

 

ปัจจัยทั้งหมดมีผลต่อภาพรวมเม็ดเงินโฆษณา MI GROUP ระบุว่า ในช่วง 11 เดือนของปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 78,000 ล้านบาท ลดลง 0.35% จากผลกระทบของสถานการณ์ภัยพิบัติ ส่งผลให้สื่อหลักอย่างโทรทัศน์หดตัวถึง 6% ในทางตรงกันข้าม สื่อดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตยังเติบโต 4% และสื่อที่ยังร้อนแรงที่สุดคือสื่อนอกบ้าน (Out of Home) และป้ายดิจิทัล ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่เติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก

 

โดยรวมแล้วตลอด 12 เดือนของปีนี้ เริ่มต้นด้วยการเติบโตเป็นบวก ก่อนจะชะลอลงต่อเนื่องจากปัจจัยการเมือง ความตึงเครียดชายแดนไทยและ กัมพูชา มาจนถึงภัยพิบัติ จนคาดว่าสิ้นปีจะหดตัวเล็กน้อยที่ -0.06% ส่งผลให้แนวโน้มอุตสาหกรรมโฆษณาในปี 2569 มีทิศทางเติบโตช้า

 

คาดการณ์ว่า เม็ดเงินโฆษณาในประเทศไทยปี 2026 จะอยู่ที่ระดับ 86,271 ล้านบาท ทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2568 โดยเติบโตเพียง 0 64% เนื่องจากยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่มีนัยสำคัญ แม้จะมีความเป็นไปได้เรื่องการเลือกตั้ง แต่ภาพรวมยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูง แต่หากรวมเม็ดเงินโฆษณาที่ไม่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ โดยเฉพาะงบการตลาดที่ SMEs ทำเอง รวมถึง Influencer Marketing ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาที่แท้จริงอาจขยับขึ้นไปแตะระดับ 111,603 ล้านบาท

 

“ส่วนในมุมของ Influencer Marketing แม้ตลาดจะเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว แต่ยังคงถูกแบรนด์ใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มที่เติบโตจริงคืออินฟลูเอนเซอร์ระดับนาโนและไมโคร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเม็ดเงินจำนวนมากถูกใช้จ่ายตรงไปยังแพลตฟอร์ม ทำให้ข้อมูลกระจัดกระจายและยากต่อการจัดเก็บ โดยในความเป็นจริง เชื่อว่าเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาในไทยมีมูลค่าเกิน 100,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน” ภวัต ย้ำ

 

ผู้บริโภคถาม AI แทนการค้นหา แนะแบรนด์เร่งสร้าง Trust ปิดการขาย

 

ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค MI GROUP มองว่า กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนบน 3 แกนหลัก เริ่มตั้งแต่ การมองหาความคุ้มค่า (Value), ความเชื่อใจ (Trust) และความง่ายไม่ซับซ้อน (Simplicity) โดยผู้บริโภคต้องการเห็นความคุ้มค่าอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ Trust กลายเป็นปัจจัยสำคัญของ Conversion และการซื้อซ้ำ ส่วนความง่ายในการสื่อสาร การนำเสนอประโยชน์สินค้า และความสอดคล้องของโปรโมชันในทุกช่องทาง คือพลังสำคัญของการปิดการขาย

 

ในมิติของสื่อและคอนเทนต์ นักการตลาดจำเป็นต้องชนะใจผู้บริโภคให้ได้ตั้งแต่ 6 วินาทีแรก ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปถาม AI มากกว่าการคลิกค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิน แบรนด์จึงต้องปรับกลยุทธ์การสื่อสารใหม่ ไม่เพียงแค่สร้างคอนเทนต์ให้โดดเด่น แต่ต้องออกแบบเนื้อหาให้กลายเป็น คำตอบ ที่ AI เลือกหยิบไปแนะนำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง

 

ขณะที่ Commerce ยุคใหม่ไม่ใช่เรื่องของแพลตฟอร์มเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้าง Ecosystem ที่เชื่อม Content, Creator และ Trust เข้าด้วยกัน โดยครีเอเตอร์ทำหน้าที่เป็นชั้นความเชื่อใจ คอนเทนต์ที่ดีเปลี่ยนการรับชมให้กลายเป็นการตัดสินใจ และทุกแพลตฟอร์มคือจุดเริ่มต้นของการค้นพบและการซื้อ ความได้เปรียบของแบรนด์จึงอยู่ที่การออกแบบ Commerce Ecosystem อย่างเป็นระบบ

 

ทั้งนี้ สรุปว่า เทรนด์การตลาดปี 2026 แบรนด์ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันทั้งผู้บริโภค สื่อ และเทคโนโลยี โดยแบรนด์ที่เติบโตได้ในยุค AI ต้องเข้าใจ Commerce Ecosystem และเชื่อม Brand, Human, AI เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างทั้งการตัดสินใจและความผูกพันในระยะยาว

 

ปี 2026 ปีแห่งการ Call Out ผู้บริโภคเลือกสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืน

 

เช่นเดียวกับ ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ฉายภาพต่อว่า แนวโน้มการตลาดปี 2026 โลกกำลังก้าวผ่านจากภาวะสมดุล ไปสู่ โลกไร้สมดุล โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากหลายปัจจัยทั้งความมั่งคั่ง หนี้สิน ผลผลิตแรงงาน รวมถึงประเด็นสิ่งแวดล้อม กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของภาคธุรกิจและนักการตลาดทั่วโลก

 

เปิดเทรนด์ โฆษณา ไทย ปี 69 ทีวีร่วง AI รุ่ง พร้อม เข้าสู่ปีแห่งการ Call Out แบรนด์ไม่แสดงจุดยืน เตรียมโดนผู้บริโภคเมิน 2

ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

 

แม้ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่การขยายตัวของตลาดกลับไม่ได้เติบโตในอัตราเดียวกัน โดยมองว่า สิ่งที่นักการตลาดจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน คือการเลือกลงเล่นในพื้นที่ที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง เนื่องจากการขยายธุรกิจแบบแมสหรือการหว่านงบทำตลาดแบบไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย อาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงอีกต่อไป

 

สอดคล้องกับอีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญ คือการเติบโตของแบรนด์จากเอเชียและจีน ที่เริ่มก้าวขึ้นมามีบทบาทในตลาดตะวันตกมากขึ้น ไม่เพียงในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแพลตฟอร์มความบันเทิงระดับโลก ที่ต้องเร่งเพิ่มคอนเทนต์ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์และวัฒนธรรมเอเชีย เพื่อตอบรับฐานผู้ชมที่เปลี่ยนแปลงไป

 

และในมิติของกลยุทธ์ ดร. บุรณินชี้ว่า จากนี้ไปความคิดสร้างสรรค์ จะมีบทบาทสำคัญมากกว่าเหตุผลเชิงตรรกะ เนื่องจากเมื่อทุกองค์กร และ ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างเท่าเทียมกัน ตรรกะที่ได้จากข้อมูลย่อมมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างได้จริงๆ จึงไม่ใช่ข้อมูล แต่คือการตีความ การเล่าเรื่อง และ การสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ

 

ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถใช้งานได้จริงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโลกมัลติเวิร์ส AI แบบ Agentic ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และ ตัดสินใจได้ใกล้เคียงมนุษย์ ไปจนถึงหุ่นยนต์ Humanoid ซึ่งมีแนวโน้มถูกนำมาใช้งานในกระบวนการตลาดอย่างจริงจังในอนาคตอันใกล้

 

ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ปี 2026 จะเห็นความสนใจต่อประเด็นทางสังคมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แบรนด์ที่กล้าสะท้อนปัญหาที่ผู้บริโภครู้สึกว่าถูกกดทับ หรือประเด็นที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต จะได้รับการสนับสนุนมากกว่าแบรนด์ที่วางตัวเป็นกลางเพียงอย่างเดียว บทบาทของ อินฟลูเอนเซอร์ ก็เช่นกัน กำลังเปลี่ยนจากผู้เชียร์ขายสินค้า ไปสู่การเป็นผู้ใช้จริง ผู้นำความคิด และ ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์อย่างตรงไปตรงมา มากกว่าการทำโฆษณาในรูปแบบเดิม

 

ในอีกมิติหนึ่ง แบรนด์จำนวนมากเริ่มนำอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และตัวตนของผู้คนมาผสานเข้ากับสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงเชิงอารมณ์ที่ลึกซึ้งขึ้น ตัวอย่าง เช่น แบรนด์รองเท้าบางรายที่นำตัวตนของนักกีฬาและไลฟ์สไตล์มาเป็นหัวใจของแบรนด์ จนสามารถสร้างความนิยมในตลาดไทย ก่อนต่อยอดสู่ตลาดโลกได้สำเร็จ

 

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า กลยุทธ์การตลาดมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการผลิตสินค้าเพียงอย่างเดียว หากแบรนด์ไม่มีจุดยืนหรือจุดขายที่ชัดเจน โอกาสอยู่รอดในตลาดจะยิ่งยากขึ้น และในบางกรณีอาจจำเป็นต้องเลือกเส้นทางการควบรวมกิจการ หรือการคอลแล็บกับพันธมิตร เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ไม่ว่าธุรกิจจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ ต่างจำเป็นต้องบริหารเงินสดและกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต

 

เตือนอินฟลูฯ-นักการตลาด ถ้าไม่สร้าง ‘คุณค่า’ ก็รอวันตกขบวน

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด และผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองกับ THE STANDARD WEALTH ว่า เผยแนวโน้มสำคัญของวงการการตลาดในปี 2026 จะขับเคลื่อนผ่าน 3 เมกะเทรนด์หลัก ประกอบด้วย Precision Marketing หรือการตลาดแบบแม่นยำ ที่อาศัยข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าเพื่อส่งสาร โปรโมชัน และ คอนเทนต์ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมากที่สุด

 

เปิดเทรนด์ โฆษณา ไทย ปี 69 ทีวีร่วง AI รุ่ง พร้อม เข้าสู่ปีแห่งการ Call Out แบรนด์ไม่แสดงจุดยืน เตรียมโดนผู้บริโภคเมิน 3

ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด และผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ถัดมาคือ Regenerative Marketing การตลาดที่ก้าวไปไกลกว่าการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องมุ่งฟื้นฟูสังคมและระบบนิเวศให้ดีขึ้น พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกคืนกลับสู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม และสุดท้ายคือ Immersive Marketing การตลาดเชิงประสบการณ์สมจริง ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ผ่านเทคโนโลยีอย่าง AR, VR หรือ Metaverse รวมถึงกิจกรรมที่ออกแบบให้ผู้บริโภครู้สึกเสมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของแบรนด์จริงๆ

 

พร้อมกันนี้ ยังมองว่า อินฟลูเอนเซอร์ไม่มีวันหายไปจากวงการตลาด เนื่องจากในเชิงประวัติศาสตร์การสื่อสารทางการตลาด มนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่า Opinion Leader หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดมาโดยตลอด ซึ่งอาจเป็นเพื่อน พ่อแม่ คนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวที่มีบทบาทในการโน้มน้าวการตัดสินใจซื้อ นี่จึงถือเป็นรูปแบบดั้งเดิมของอินฟลูเอนเซอร์ เพียงแต่ในยุคดิจิทัล บทบาทดังกล่าวถูกขยายขอบเขตและเปลี่ยนแพลตฟอร์มไปตามเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค

 

มุมมองนี้สะท้อนว่า อินฟลูเอนเซอร์คือวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ และไม่ได้ยึดติดอยู่กับตัวบุคคลเท่านั้น หากแต่สามารถเป็นไปได้หลากหลาย ตั้งแต่อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นบุคคลจริง ไปจนถึงคาแรกเตอร์ในรูปแบบการ์ตูนหรือมาสคอต หรือแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งทั้งหมดสามารถสื่อสาร โน้มน้าว และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ และตราบใดที่มนุษย์ยังต้องสื่อสารและโน้มน้าวกัน อินฟลูเอนเซอร์ก็จะยังคงอยู่ในระบบการตลาดไปอย่างต่อเนื่อง

 

ถึงกระนั้นบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ในสายตาแบรนด์เริ่มเปลี่ยน ผศ. ดร เอกก์ ชี้ว่า แบรนด์ยุคใหม่ไม่ได้ตัดสินคุณค่าของอินฟลูเอนเซอร์จากจำนวนผู้ติดตามเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับฐานแฟนตัวจริง หรือกลุ่มผู้ติดตามที่มีความผูกพันลึกซึ้ง มีความภักดี และ พร้อมสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งผู้ติดตามในความหมายนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนหน้าจอ แต่คือคนที่รัก ชอบ เชื่อมั่น และในบางกรณีพร้อมปกป้องอินฟลูเอนเซอร์เมื่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์

 

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนพลังของ fan-based influence ซึ่งกำลังกลายเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องการมากที่สุด โดยจากเดิมการแข่งขันทางการตลาดอาจวัดกันที่ความแปลกใหม่หรือความไวรัลของคอนเทนต์ แต่ในปัจจุบันเกมได้เปลี่ยนไปสู่การแข่งขันด้าน Conversion หรือผลลัพธ์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคอนเทนต์ของตนเองช่วยสร้างยอดขายได้จริง ก็จะทำให้แบรนด์พร้อมจ่ายทันที ไม่ว่าค่าตัวจะสูงแค่ไหน

 

ผศ. ดร. เอกก์ ยังฝากถึงอินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่ว่า การก้าวเข้าสู่วงการนี้ไม่ควรเริ่มต้นจากการไล่ล่ายอดไลก์หรือรายได้เป็นหลัก แต่ควรเริ่มจากการสร้างคุณค่าให้กับผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ ความบันเทิง หรือแรงบันดาลใจ เพราะเมื่อแฟนคลับรู้สึกว่าได้รับสิ่งดีๆ จากอินฟลูเอนเซอร์ เขาจะอยู่เป็นแฟนคลับในระยะยาว และความสัมพันธ์เช่นนี้จะทำให้แบรนด์มองเห็นศักยภาพและต้องการเข้ามาร่วมงานด้วย

 

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ทั้งอินฟลูเอนเซอร์และนักการตลาดกำลังเดินเข้าสู่ยุคที่ต้องพิสูจน์คุณค่า มากกว่าการสร้างกระแส และผู้ที่ปรับตัวได้ทันเท่านั้นที่จะยืนระยะได้ในสมรภูมิการแข่งขันที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในอนาคต

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising