หากพูดถึง ‘ประกัน’ หลายคนคงมีภาพจำที่ไม่ดีต่ออุตสาหกรรมประกันไทย สาเหตุหลักๆ คงหนีไม่พ้นการถูกตัวแทนประกันหลอกขายกรมธรรม์ ทำให้เกิดสารพัดปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็นความยุ่งยากการเคลมค่าสินไหม หรือการโดนบริษัทยกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม แถมเบี้ยประกันก็แพงขึ้นทุกปี พร้อมเงื่อนไขความคุ้มครองที่ซับซ้อนขึ้น จนผู้บริโภคมองว่าไม่ ‘คุ้มค่า’ ที่จะจ่ายเบี้ยประกัน
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราจึงเห็นข่าวชนชั้นกลางค่อนบน และกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งสูงหันไปซื้อ ประกันชีวิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ ในขณะที่กลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ และชนชั้นกลางยังกลัวการซื้อประกัน เลือกยอมรับเสี่ยงเอง ดีกว่าต้องจ่ายเบี้ยประกัน แล้วลุ้นความคุ้มครอง
THE STANDARD WEALTH สัมภาษณ์ บุ้งกี๋ – ณัฐชนก มานะสมจิตร Senior Financial Advisor สิงคโปร์ เจ้าของเพจ GEE Money & More ชวนเจาะลึกเบื้องหลังอุตสาหกรรมประกันสิงคโปร์ มีดีอะไร ทำไมคนมีเงินถึงยอมบินไปทำประกัน, พร้อมเปิดสาเหตุทำไมประกันไทย ต้นทุนแพงขึ้น จนคนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง
และพูดคุยถึงแนวทางแก้ไข กับทอมมี่ – พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด (ABS) และ อดีตนายกสมาคมนักคณิต ศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
ประกันชีวิตสิงคโปร์ โตแรงแซงค่าครองซีพ
สิงคโปร์ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่คนมีความรู้การเงินสูงอันดับต้นๆ ของโลก โดยได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม การเป็น “ศูนย์กลางการเงิน” ระดับโลก
ทำให้แม้เศรษฐกิจจะโตช้าลง ค่าครองชีพสูง แต่อุตสาหกรรมประกันยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลล่าสุดโดยสมาคมประกันชีวิตสิงคโปร์ (The Life Insurance Association, Singapore หรือ LIA Singapore) รายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 (มกราคม-มิถุนายน) มีเบี้ยรับรายใหม่ (Weighted New Business Premiums) มูลค่า 2.99 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (7.23 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตหลักๆ มาจากเบี้ยประกันรับปีต่อไป ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 22% ในขณะที่เบี้ยประกันภัย แบบชำระครั้งเดียวลดลง 21.3%
โดยประกันควบการลงทุน (Investment-Linked Policies หรือ ILPs) ยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ของอุตสาหกรรม เนื่องจากคนสิงคโปร์ส่วนใหญ่วางแผนการเงินระยะยาว จึงซื้อประกันไม่ใช่แค่ไว้ป้องกันความเสี่ยง ลดผลกระทบจากความไม่แน่นอน แต่ต้องได้ผลตอบแทนกลับมาด้วย สะท้อนจากเบี้ยรายรับใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 1.28 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (3.09 หมื่นล้านบาท) เติบโต 31.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 975 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.36 หมื่นล้านบาท)
ปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมประกันในสิงคโปร์โตแรง ไม่ได้มาจากความตื่นตัวของคน ในการวางแผนการเงินเท่านั้น แต่การเข้ามาการแข่งขันของกลุ่มบริษัทประกัน เพื่อแย่งชิงลูกค้าจากคู่แข่งที่มาจากทั่วทุกมุมโลก ผลักดันให้บริษัทประกัน ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุดทั้งในความคุ้มค่าการคุ้มครองและราคา อีกจุดเด่นที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาตินิยมทำประกันในสิงคโปร์คือประกันบางประเภท มีเฉพาะที่สิงคโปร์เท่านั้น
ทำไมสิงคโปร์เบี้ยถูก ความคุ้มครองสูงกว่าไทย
- สิงคโปร์เป็นตลาดที่เปิดกว้างมาก มีบริษัทประกันจากต่างประเทศเข้ามาทำการตลาดเยอะ ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ทำให้ต้องแข่งขันกันหนักมาก ค่าเบี้ยจึงถูกลงประกอบกับ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกระบบการขายผ่านช่องทางออนไลน์หรือ การใช้เทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech) แทนที่ตัวแทนขายบางส่วน ต้นทุนการหาลูกค้าจึงต่ำกว่าไทย
- สิงคโปร์เป็นประเทศที่คนมีอายุขัยเฉลี่ยสูงสุขภาพโดยรวมดี ประชาชนจึงอายุยืนกว่าไทย ทำให้ความเสี่ยงของบริษัทประกันลดลง สามารถคิดเบี้ยต่ำลงได้แต่ยังให้ทุนประกันสูงอยู่
- โครงสร้างตลาดโปร่งใส บริษัทประกันในสิงคโปร์อยู่ภายใต้กฎหมาย และการกำกับดูแล ของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) มีระบบเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ทำให้ลูกค้าสามารถ เปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันแต่ละเจ้าได้ง่าย บริษัทประกันจึงต้องแข่งกัน เรื่องความคุ้มค่าของเบี้ย เพื่อรักษาฐานลูกค้า
- บูรณาการข้อมูลร่วมกันทั้งระบบตั้งแต่สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ จนถึงอุปกรณ์เพื่อสุขภาพ เช่น นำนาฬิกา smartwatch มาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงรายบุคคน ทำให้เบี้ยออก มาตรงกับพฤติกรรมจริง ไม่ต้องบวกค่าความเสี่ยงแบบเหมารวมเหมือนระบบเดิม
“ประกันฝั่งไทย เรายังพึ่งตัวแทนขายเป็นหลัก ต้นทุนค่านายหน้า ค่าอบรม ค่าโครงสร้างองค์กรยังสูง อีกทั้งตลาดยังไม่เปิดเสรีมากนัก การแข่งขันเลยน้อย และการใช้ข้อมูลยังไม่ลึกเท่า พอรวมกันแล้ว เบี้ยเลยออกมาสูงกว่า ทั้งที่ทุนประกันอาจต่ำกว่า”
สรุปคือ ประกันสิงคโปร์มีข้อได้เปรียบด้านตลาดที่เปิดกว้างกว่า การปรับใช้เทคโนโลยีเยอะกว่า ทำให้ข้อมูลแม่นยำ และต้นทุนต่ำกว่า จึงสามารถออกแบบกรมธรรม์ที่เบี้ยถูกแต่ทุนประกันสูงได้ ในขณะที่ประกันไทยยังอยู่ในระบบที่มีต้นทุนการขายสูง และการกำหนดราคาโดยเฉลี่ยที่ยังไม่ personalized เท่าที่ควร
เปิดปัญหาต้นทุนประกันไทย แพงจนคนเอื้อมไม่ถึง
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ประกันไทยแข่งขันด้านต้นทุนได้ไม่ดีเท่าสิงคโปร์ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด (ABS) และ อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นกับ THE STANDARD WEALTH ว่า การที่ประกันสิงคโปร์มีความยืดหยุ่นด้านการบริหารต้นทุนประกันมากกว่าไทย หลักๆ มาจาก 4 ปัจจัย ได้แก่
1. การเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ประกันต่างประเทศสามารถกระจายความเสี่ยงการลงทุนด้วยเครื่องมือทางการเงิน ที่ซับซ้อนได้มากกว่าประเทศไทย แต่ก็จะมีความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่กรมธรรม์ไทยมีมูลค่าเป็นเงินบาท จึงต้องเน้นลงทุนในหุ้นไทย หรือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเพื่อจัดการความเสี่ยงหนี้ความคุ้มครอง และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
2. เงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลสูง
ด้วยความเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์ (Medical Hub) ทำให้โรงพยาบาลไทยแข่งขันกันด้านเทคโนโลยีอัปเกรดเครื่องมือทางการแพทย์ ให้ทันสมัย ซึ่งตามมาด้วยต้นทุนที่สูงส่งผลให้ต้นทุนการเคลมประกันสูงตาม
ประกอบกับกรมธรรม์ไม่ได้จำกัดสิทธิการเลือกโรงพยาบาล จึงเป็นช่องโหว่ให้ผู้เอาประกัน เคลมค่าสินไหมจากโรงพยาบาลที่ค่ารักษาแพงเพื่อความคุ้มค่า นอกจากนี้การเข้ามา ใช้บริการโรงพยาบาลระดับ 5 ดาวของกลุ่มคนต่างชาติ เป็นตัวเร่งค่ารักษาพยาบาล เฉลี่ยต่อครั้งแพงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เพราะคนไทยต้องแบกรับค่าเฉลี่ยต้นทุนการรักษา ร่วมกับคนต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในไทยด้วย
3. การเคลมประกันไม่มีระบบกลาง
บริษัทประกันจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติการรักษาของโรงพยาบาลได้โดยตรง ทำให้ต้นทุนข้อมูลสูง ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ข้อมูลทุกอย่างเชื่อมกันภายใต้ Ecosystem เดียวกัน บริษัทประกันจึงเห็นข้อมูล การเคลมของลูกค้าแต่ละคนและสามารถประเมินสัดส่วนกลุ่มลูกค้าที่ใช้ประกันในทางที่ไม่ เหมาะสมได้แม่นยำขึ้น
4. ระดับความรู้ประกันของคนไทย
ส่งผลต่อต้นทุนช่องทางขายประกันเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ ที่คนมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประกันอยู่แล้ว จึงมีโอกาสปิดการขายได้เร็วกว่า เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ตัวแทนประกันในไทยมีลูกค้าเข้ามาขอคำแนะนำ 10 คน มีโอกาสปิดการขายได้เพียง 1 คนเท่านั้น และลูกค้าแต่ละคนต้องมีการนัดคุยไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งเพื่อปูพื้นฐานความรู้ประกันก่อนเสนอขาย จึงใช้ระยะเวลานานกว่าเมื่อเทียบตัวแทนประกันสิงคโปร์ที่สามารถปิดการขายลูกค้าได้ 1 ใน 5 คน ดังนั้นบริษัทประกันจึงต้องต้องแบกรับต้นทุนค่าคอมมิชชันเพื่อจูงใจตัวแทนขาย
พิเชฐ กล่าวทิ้งทายว่า ถ้าคนไทยมีความรู้เรื่องของการจัดการความเสี่ยงระดับครัวเรือน ซึ่งก็คือ การซื้อประกัน จะช่วยลดต้นทุนระหว่าง Customer Journey ซึ่งจะทำให้ต้นทุน ช่องทางจำหน่ายถูกลงไปด้วย
‘ประกัน’ ยาสามัญประจำบ้าน คนสิงคโปร์
ในสายตาประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์เป็นต้นแบบของประเทศที่รัฐบาลออกแบบระบบ เพื่อเตรียมความพร้อมเกษียณให้ประชาชนอย่างแท้จริง แต่ทุกระบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่มีระบบไหนที่จะถูกใจทุกคน
สำหรับคนสิงคโปร์ ‘ประกัน’ เปรียบเสมือน ‘ยาสามัญประจำบ้าน’ ที่ทุกคนต้องมี เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในประเทศค่อนข้างแพง โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน อีกทั้งสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลที่ไม่ดีนัก ประกันสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ประกอบกับรัฐบาลมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จะบังคับให้ทุกคนต้องออมเงิน โดยประชาชนสามารถแบ่งเงินออมในกองทุนไปซื้อประกัน ทำให้ทุกคนเข้าถึงประกันได้ คนสิงคโปร์จึงนิยมซื้อประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์เพื่อวางแผนการเงินระยะยาว ให้อยู่ได้หลังเกษียณ
สำหรับหลักการเลือกซื้อประกัน คนสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าเป็นอันดับแรก โดยพิจารณาจากค่าเบี้ยประกัน ผลตอบแทนและวงเงินคุ้มครอง เน้นจ่ายเบี้ยน้อย วงเงินคุ้มครองสูง ด้วยความที่ตลาดเปิดกว้างบริษัทประกันไม่ใช่แค่แข่งกันเองในประเทศ แต่ต้องแข่งขันกับผู้เล่นที่มาจากทั่วโลก จึงเปิดโอกาสให้ประกันเจ้าเล็กแข่งขันกับเจ้าใหญ่ ด้วยราคาที่คุ้มค่ากว่า


