โลกในปี 2025 ไม่เคยหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับวิกฤตธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM 2.5, มหาอุทกภัยในเอเชีย, สารพิษตกค้างในแม่น้ำโขง ไปจนถึงปัญหาระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ‘การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ’ (Climate Change) เหล่านี้คือปรากฏการณ์ตอกย้ำว่า วิกฤตไม่ได้อยู่ไกลตัว แต่แทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคนแล้ว
กล่าวได้ว่า ปี 2025 เป็นเพียงภาพสะท้อนความรุนแรงที่ธรรมชาติส่งสัญญาณเตือน แต่บททดสอบของจริงคือปี 2026 เมื่อมนุษยชาติอาจต้องรับแรงกระแทกภัยเงียบทางธรรมชาติจากเรื่องเล็กๆ ที่ใครอาจคาดไม่ถึง เช่น วิกฤตการลดลงของประชากร ‘ผึ้ง’ ที่อาจกลายเป็นห่วงโซ่กระทบความมั่นคงทางอาหารของโลก
เนื่องในวาระส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ THE STANDARD สัมภาษณ์พิเศษ ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ (NIDA) เพื่อประมวลเหตุการณ์สำคัญทางสิ่งแวดล้อมในปี 2025 และมองข้ามช็อตสู่ก้าวถัดไปในปี 2026 ว่า มนุษย์จะอยู่ร่วมกันกับความท้าทายทางธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
ฝุ่น น้ำท่วมใหญ่ และสารพิษในแม่น้ำโขง 3 ไฮไลต์ใหญ่ทางสิ่งแวดล้อมในปี 2025
1. มหาอุทกภัยภาคใต้และเอเชีย – ศ.ดร.ศิวัชระบุว่า ปัญหาน้ำท่วมใหญ่คือหนึ่งในไฮไลต์สำคัญทางสิ่งแวดล้อมในปี 2025 ถือเป็นการตอกย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือเรื่องจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่า มหาอุทกภัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทย แต่ยังรวมถึงหลายประเทศในโลก เช่น มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และศรีลังกา
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมอธิบายว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจาก ‘ร่องมรสุม’ (Intertropical Convergence Zone: ITCZ) หรือการก่อตัวของความชื้นหนาแน่นที่รวมตัวกันเป็นเมฆ มีลักษณะเป็นเส้นยาวนับพันกิโลเมตรและความกว้างหลายร้อยกิโลเมตร จนคล้ายกับมี ‘แม่น้ำสายใหญ่บนฟ้า’ ซึ่งทำให้เกิดภาวะ ‘ฝนตกแช่’ หรือฝนตกหนักแบบต่อเนื่องยาวนาน ต่างจากพายุฝนทั่วไปที่ตกแล้วหยุด
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น คือ อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้น้ำทะเลอุ่น จนกลายเป็นเชื้อเพลิงหลักของพายุ ขณะที่ทิศทางการหมุนของพายุแต่ละซีกขึ้นอยู่กับแรงโคริออลิส (Coriolis Force) หรือแรงเหวี่ยงที่ทำให้เกิดพายุ
แม้เหตุน้ำท่วมภาคใต้จะเกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ แต่ ศ.ดร.ศิวัชก็ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงการรับมือของภาครัฐที่ล้มเหลว ขาดหัวเรือหลักที่ชัดเจน ไม่มีการบริหารจัดการเชิงโครงสร้าง ซ้ำด้วยการตัดสินใจผิดพลาด จึงทำให้ความเสียหายรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น
ศ.ดร.ศิวัชชี้ว่า โศกนาฏกรรมดังกล่าวคือบทเรียน และสะท้อนสิ่งที่ไทยทำผิดซ้ำซากในทุกรัฐบาล เพราะรูปแบบการจัดการยังคงเหมือนเดิม โดยสิ่งที่ควรมีคือหน่วยงานหลัก ซึ่งในความเป็นจริง คือกระทรวงมหาดไทยและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แต่ปัญหาคือการเมืองเข้าไปแทรกแซงระบบราชการ ทำให้ได้ผู้ทำงานไม่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสายงาน
“เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ผลเสียหายที่ตามมาคือประชาชนต้องเป็นผู้รับผลกระทบ ทั้งที่จริงแล้ว มันไม่จำเป็นต้องรุนแรงขนาดนี้ ภาพที่เห็นชัดคือปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปัญหาการบริหารจัดการของภาครัฐด้วย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่”
2. สารพิษตกค้างในแม่น้ำโขง – เรื่องของ ‘แรร์เอิร์ธ’ (Rare Earth) หรือแร่หายาก กลายเป็นประเด็นใหญ่ของสังคมไทยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลัง อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีไทย ทำข้อตกลงร่วมแร่หายากกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกาในการประชุมสุดยอดอาเซียนปลายเดือนตุลาคม 2025
ศ.ดร.ศิวัชวิเคราะห์ว่า แรร์เอิร์ธคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง เพราะทรัพยากรดังกล่าวเป็น ‘ยุทธปัจจัย’ กล่าวคือ แร่หายากจำเป็นต้องใช้ในเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งภาคเทคโนโลยีและความมั่นคง โดยเฉพาะในวันนี้ที่โลกอยู่ท่ามกลางการแข่งขันระหว่าง 2 มหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เหล่ามหาอำนาจไม่ผลิตแร่หายากในประเทศ เพราะเผชิญผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมสูง ทำให้เลือกย้ายไปฐานการผลิตไปยังประเทศกลุ่มซีกโลกใต้ที่มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมอ่อนแอ
รัฐฉาน พื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ว้าในประเทศเมียนมา กลายเป็นเป้าหมายใหม่สำหรับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งอยู่ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มจีนสีเทา แต่เต็มไปด้วยปัญหาการขุดเจาะที่ไม่ได้เป็นตามมาตรฐานและถูกหลักวิชาการ ทำให้เกิดสารพิษและโลหะจำนวนมากไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติข้ามชายแดน เชื่อมมายังแม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และเข้าสู่จังหวัดเชียงราย
3. ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด – สำหรับหมุดหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับไทยในปี 2025 ศ.ดร.ศิวัชมองว่า คือการผ่านร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน หรือ ‘พ.ร.บ. อากาศสะอาด’ ในวาระที่สาม ซึ่งเป็นประเด็นที่เขาและภาคประชาชนผลักดันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2019
แม้สถานะปัจจุบันของกฎหมายคือ ‘ถูกดอง’ อยู่ในชั้นวุฒิสภา ประกอบอุบัติเหตุทางการเมืองอย่างการยุบสภาที่ทำให้ต้องลุ้นว่า สภาชุดใหม่จะคลอด ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาได้หรือไม่ แต่สิ่งที่น่าจับตามองว่า คือ หากไม่มีอะไรพลิกโผ ไทยจะมีกฎหมายทางสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยที่สุดในโลก
ศ.ดร.ศิวัชระบุว่า กฎหมายฉบับนี้ประกอบราว 300 มาตรา มีความยาวเทียบเท่ากับรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่ง อีกทั้งยังมีความแตกต่างกับกฎหมายรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฉบับเดิมที่กล่าวถึงเรื่องอากาศเพียงเล็กน้อย นับเป็นภาพสะท้อนความพยายามยกระดับ ‘สิทธิในการหายใจอากาศบริสุทธิ์’ ให้เป็นเรื่องจริงจังในเชิงกฎหมาย
นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังมีหัวใจสำคัญ คือ หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) กล่าวคือ ใครเป็นคนก่อมลพิษ คนนั้นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดความท้าทายในการบังคับใช้ เพราะภาคธุรกิจต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนอากาศสะอาดเพิ่มเติม ถือเป็นการเพิ่มต้นทุนที่ซ้ำซ้อนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมมองว่า ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด จะเกิดขึ้นได้ ต้องบังคับใช้ได้จริง ด้วยการหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นธรรมของประชาชนกับความอยู่รอดของภาคธุรกิจ
มองข้ามช็อต มีอะไรที่โลกจับตามองสิ่งแวดล้อมในปี 2026?
1. วิกฤตประชากรผึ้ง – เมื่อพูดถึงวิกฤตประชากรผึ้งอาจดูเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสังคมไทย แต่ ศ.ดร.ศิวัชย้ำว่า นี่คือปัญหาที่น่ากังวลในระดับโลก เพราะผึ้งคือตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับ ‘หิ้งห้อย’ ที่ทำหน้าที่บ่งชี้ระดับความสะอาดของสิ่งแวดล้อม
“ในระดับโลกผึ้งมีความสำคัญมากกว่านั้น เพราะพืชเกือบ 90% ต้องอาศัยผึ้งในการผสมเกสร ผึ้งทำหน้าที่เป็นตัวกลาง นำละอองเกสรจากดอกไม้ต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่ง เกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ”
ศ.ดร.ศิวัชขยายความว่า ผึ้งมีความสำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่พึ่งพาอาหารจากป่า โดยเปรียบเปรยว่า เหมือนกับ ‘ร้านสะดวกซื้อ’ ขนาดใหญ่ของชาวบ้าน
แต่ปัจจุบัน ประชากรผึ้งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดภาวะ ‘ดอกไม้บานผิดเวลา’ เป็นสาเหตุที่ผึ้งปรับตัวไม่ทันและออกหากินไม่ตรงจังหวะของฤดูกาล จนขาดอาหารและเสียชีวิต
ศ.ดร.ศิวัชระบุว่า หากผึ้งงานเสียชีวิตไป นางพญาผึ้งก็จะเสียชีวิตตาม เพราะไม่มีผู้หาอาหารและรับใช้ เท่ากับว่า อาณาจักรผึ้งจะล่มสลาย ไม่มีผึ้งรุ่นใหม่เกิดขึ้น โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวตอกย้ำความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะไม่มีสัตว์ใดที่ทำหน้าที่ผสมเกสรทางธรรมชาติได้เหมือนผึ้ง
นอกจากนี้ปัจจัยอื่นๆ อย่างการใช้สารเคมี การขยายตัวของเมือง ไปจนถึงการกำจัดรังผึ้งทิ้งเพราะความกังวลของมนุษย์ ก็ยังเป็นเหตุผลซ้ำเติมทำให้จำนวนประชากรผึ้งลดลงตามธรรมชาติอีกด้วย
2. ภัยเงียบจากไมโครพลาสติก – เพราะในทุกวันนี้ กิจวัตรของมนุษย์นี้ล้วนพัวพันกับการใช้พลาสติกมากที่สุด จนแทบไม่มีอุตสาหกรรมชนิดไหนที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ภัยเงียบที่หลายคนคาดไม่ถึง คือ การแตกตัวของพลาสติกที่แทรกซึมในทุกอนูของสิ่งแวดล้อมและร่างกายมนุษย์
“ความน่ากลัวของไมโครพลาสติกคือ มันสามารถปนเปื้อนไปได้ในทุกส่วน โดยสุดท้าย ไมโครพลาสติกจะไปสะสมที่มหาสมุทร พอไปสะสมที่มหาสมุทร มันก็จะเข้าไปในห่วงโซ่อาหาร”
“เมื่อไมโครพลาสติกเข้าไปสู่ห่วงโซ่อาหาร ไม่ว่าจะกินผัก กินสาหร่าย กินปลาแซลมอน กินปลาน้ำ กินกุ้ง กินอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันก็เข้ามาที่ตัวเรา เพราะมนุษย์อยู่บนยอดสุดของห่วงโซ่อาหาร”
ศ.ดร.ศิวัชระบุว่า ส่วนใหญ่แล้ว ไมโครพลาสติกมักเข้าไปสะสมที่สมองของมนุษย์ เพราะเป็นอวัยวะที่เลือดไปเลี้ยงมากและมีชั้นไขมันสูง ซึ่งง่ายต่อสะสม โดยผลกระทบร้ายแรงที่เห็นได้ชัดคือภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์
สำหรับวิธีการแก้ไขต้องเริ่มด้วยการกำจัดพลาสติกอย่างถูกวิธี คือการใช้ระบบเผาโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Pyrolysis) โดยใช้เตาที่ทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ ทำให้พลาสติกแตกตัว และย้อนกลับไปสู่สารตั้งต้น คือ น้ำมัน ซึ่งสามารถนำไปกลั่นเป็นเชื้อเพลิงอย่างเบนซินหรือดีเซลต่อได้
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมหมายเหตุว่า วิธีการนี้ต้องอาศัยการแยกขยะอย่างจริงจัง โดยแยกพลาสติกออกมาจากขยะประเภทอื่นๆ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่โลกต้องแก้ร่วมกัน
3. Climate Change และความเหวี่ยงสภาพอากาศ – ศ.ดร.ศิวัชแสดงความเห็นว่า ประเด็นทางสิ่งแวดล้อมในปี 2026 ก็ยังคงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นับเป็นเรื่องที่ยังทิ้งไม่ได้ เพราะแนวโน้มการปล่อยแก๊สเรือนกระจกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับอุณหภูมิโลก แต่เรื่องที่เขาอยากเน้นย้ำมากที่สุด คือความเหวี่ยงของสภาพอากาศ หรือภาวะที่สภาพอากาศมีความผันผวนอย่างรุนแรงแบบสุดขั้วและไม่แน่นอน
อาจารย์จาก NIDA ฉายภาพให้เห็นว่า แม้ปัจจุบันมนุษย์อาจคุ้นชินกับปรากฏการณ์น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก แต่นี่ไม่ใช่สภาวะถาวรและโลกอาจเผชิญกับ ‘ภัยแล้งสุดขั้ว’ หรือฤดูที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลมานานหลายปี (หรืออาจจะตลอดทั้งปี)
“สิ่งที่การันตีได้เลยคือ ความเหวี่ยงของสภาพอากาศจะรุนแรงขึ้นทุกปี นั่นหมายถึงว่า บางปีฝนก็จะไม่ตกเลย เราก็อาจจะเจอลักษณะแบบนั้นได้”
ศ.ดร.ศิวัชระบุว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การป้องกันภัยแบบเดิม แต่เป็นความยืดหยุ่น (Resilience) หรือความสามารถในการเตรียมความพร้อม และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พร้อมเปรียบเทียบสภาพอากาศในปัจจุบันว่า เหมือนกับการขี่มอเตอร์ไซค์ที่คาดเดาไม่ได้ว่า จะเจอหลุมลึกหรือเนินสูง แต่ต้องสวมหมวกกันน็อกเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา และรักษาชีวิตให้รอดเสมอ
“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นสิ่งที่ต้องอยู่กับเราไปตลอดช่วงชีวิตนี้ ทุกคนต้องเจอ และไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงเด็กที่กำลังจะเกิดขึ้น ลืมตามองโลกมาก็จะต้องเจอกับเรื่องสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือปรับตัวให้เข้ากับมัน ลดหนักให้เป็นเบา” ศ.ดร.ศิวัชทิ้งท้าย
แฟ้มภาพ: frank60 / Shutterstock


