ผลตอบแทนของหุ้นตลาดเกิดใหม่ (MSCI Emerging Market) กลับมาชนะตลาดหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) และตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (MSCI Developed Market) อีกครั้งในรอบ 5 ปี โดยครั้งสุดท้ายที่ดัชนี MSCI EM ให้ผลตอบแทนสูงกว่า MSCI ACWI และ MSCI WORLD คือเมื่อปี 2020
อีกนัยหนึ่งของสถิติดังกล่าวเป็นการสะท้อนว่าตลาดหุ้นของประเทศในกลุ่มเกิดใหม่ที่นำโดย จีน, ไต้หวัน, อินเดีย, เกาหลีใต้ และบราซิล สามารถกลับมาให้ผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง
สำหรับปี 2025 ดัชนี MSCI EM ให้ผลตอบแทนราว 30% ณ วันที่ 24 ธันวาคม ขณะที่ MSCI ACWI และ MSCI WORLD ซึ่งมีหุ้นสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 65% และ 72% ตามลำดับ ให้ผลตอบแทนราว 20%
สำหรับตลาดหุ้นที่ร้อนแรงมากที่สุดในปีนี้คือเกาหลีใต้ ซึ่งดัชนี KOSPI พุ่งขึ้นมากถึง 72% ช่วยให้ตลาดเกิดใหม่กำลังเตรียมปิดฉากปี 2025 อย่างสวยงาม และหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าโมเมนตัมนี้จะยังคงร้อนแรงต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
ขณะที่บางประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีผลงานที่โดดเด่นเป็นพิเศษ เช่น Athens Composite ดัชนีหลักของกรีซ พุ่งขึ้นเกือบ 44% ตลอดทั้งปี และเตรียมได้รับการยกระดับสถานะเป็นตลาดพัฒนาแล้วในเดือนกันยายน 2026
อย่างไรก็ตาม การทะยานขึ้นของตลาดเกิดใหม่ในปีนี้ไม่ได้มาจากความสำเร็จของประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงอย่างเดียว ดัชนีหุ้นหลักของชิลี และสาธารณรัฐเช็ก ต่างปรับตัวขึ้นราว 50.8% ตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่ดัชนี BET ของโรมาเนียก็บวกไปกว่า 42%
ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง
สำนักข่าว CNBC ระบุว่า Varun Laijawalla ผู้จัดการพอร์ตลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ของบริษัทกล่าวว่า “หากจะสรุปปี 2025 ด้วยคำเดียว มันคือคำว่าการเปลี่ยนแปลง นี่คือปีแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายระดับ”
การเปลี่ยนแปลงระดับแรกคือ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ตลาดมีการเก็งกำไรในทิศทางเดียว (One-way trade) นั่นคือตลาดพัฒนาแล้ว ซึ่งโดยหลักคือสหรัฐฯ แต่ปีนี้ทิศทางนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว
Laijawalla ยังตั้งข้อสังเกตว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงในปีนี้ หลังจากแข็งค่ามาตลอด 15 ปี ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ปรับตัวลดลงราว 9% ตั้งแต่ต้นปี โดยจุดเริ่มมาจากการเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ในเดือนเมษายน ที่เรียกว่าปรากฏการณ์ ‘Sell America trade’
ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่ามักกดดันเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่พึ่งพาเงินทุนต่างชาติ เพราะทำให้หนี้สกุลเงินดอลลาร์มีต้นทุนสูงขึ้นเมื่อแปลงเป็นเงินท้องถิ่น และอาจลดทอนกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศที่สำคัญในปี 2025 โดย Laijawalla ยกตัวอย่าง จีน และ เกาหลีใต้ โดยจีนเกิดการผงาดของ DeepSeek ซึ่งเป็นผู้ท้าชิงในสมรภูมิ AI ของสหรัฐฯ และมีการหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชนอีกครั้งในปีนี้ ขณะที่เกาหลีใต้นั้น รัฐบาลชุดใหม่ได้ดำเนินการปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กร (Corporate Governance) ที่จำเป็นอย่างมาก
“จาก 24 ตลาดที่เราลงทุนได้ เกาหลีใต้คือตลาดที่มีปัญหาธรรมาภิบาลอ่อนแอมาโดยตลอด ดังนั้นการจัดการปัญหาใหญ่ที่สุดของตลาดนี้ได้ ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่มาก” Laijawallaกล่าว
ปัจจัยหนุนสำคัญคือ Net Issuance หรือปริมาณหุ้นออกใหม่สุทธิ
Laijawalla ชี้ว่าปัจจัยหนุนที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของ Net Issuance หรือปริมาณการนำหุ้นเข้าและออกจากตลาดมหาชน
“ทำไมสินทรัพย์กลุ่มนี้ (ตลาดเกิดใหม่) ถึงทำผลงานแย่กว่าตลาดพัฒนาแล้ว? มีเหตุผลเดียวเท่านั้น คือ Net Issuance หรือสิ่งที่เราเรียกว่า การลดทอนมูลค่าหุ้น (Dilution)” เขากล่าว
“ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาในตลาดเกิดใหม่ แรงฉุดจาก Net Issuance นั้นมหาศาลมาก โดยเฉพาะคลื่นการทำ IPO ในจีน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หุ้นตลาดเกิดใหม่แพ้ตลาดสหรัฐฯ และตลาดพัฒนาแล้ว แต่ถ้าดูตัวเลข Net Issuance ของจีนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มันกำลังลดลงอย่างฮวบฮาบ”
เขาเสริมว่า ในปี 2024 จีนมีการซื้อหุ้นคืน (Buybacks) จำนวนมาก และมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการจัดสรรเงินทุนขององค์กร รวมถึงการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น
“สิ่งที่ผมจะบอกคือ ปัจจัยลบ (Headwind) กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุดจะกลายเป็นปัจจัยบวก (Tailwind) ผมคิดว่าตลาดไม่เข้าใจคอนเซปต์นี้เลย นี่คือจุดเปลี่ยนที่แท้จริง ผมคิดว่าปัจจัยพื้นฐานของตลาดเกิดใหม่ไม่เคยดูน่าดึงดูดขนาดนี้มาก่อนในรอบ 15 ปี”
ปี 2026 ตลาดเกิดใหม่จะชนะอีกครั้ง
Mislav Matejka หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์หุ้นโลกและยุโรปของ JP Morgan กล่าวกับผู้สื่อข่าว CNBC ว่า ตลาดเกิดใหม่กำลังมุ่งหน้าสู่ปีที่สองของการทำผลงานได้ดีกว่าตลาดอื่น (Outperformance) ในปี 2026 หลังจากที่ตามหลังมาปีแล้วปีเล่า
“หลายปีที่ผ่านมา ฝั่งเรามองเหมือนเดิมตลอด คือ ซื้อตลาดพัฒนาแล้ว (Long DM) และ ขายตลาดเกิดใหม่ (Short EM) แต่ปีนี้เรากลับมุมมองโดยสิ้นเชิงต่อ EM และจีน ในมุมของหุ้น เราให้น้ำหนักมากกว่าตลาดในพอร์ตระดับภูมิภาค เราเป็นผู้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลี หรืออินเดีย แต่เราซื้อตลาดเกิดใหม่ในภาพรวมด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน” Matejka กล่าว
ปัจจัยขับเคลื่อนรวมถึง มูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ, การเคลื่อนไหวของค่าเงิน, และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ
Matejka เสริมว่า ความเชื่อมั่นในปีนี้ยังมาจากผลงานที่ดีขึ้นของค่าเงินและตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ และเรากำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน “แต่เมื่อผมมองมูลค่าของ EM เทียบกับ DM และมองในแง่สัมบูรณ์ เรายังเห็นส่วนลดอยู่ที่ 30%, 40% หรือ 50% เมื่อดูจากการวางเงินทุนของนักลงทุนทั่วโลก”
นอกจากนี้ JP Morgan มองว่าเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่หลายแห่งจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมจากกระแส AI บูมทั่วโลก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะและพลังงาน
ภาพ: Daniel Ceng/Anadolu via Getty Images
อ้างอิง:


