ผมจะหาเงิน 800,000 บาทมาจากไหนครับ?
คำถามนี้โผล่ขึ้นมาในหัวทันทีที่ผมอ่านข่าว ‘ลดหย่อนภาษีเพื่อการออม 800,000 บาท + บัญชี TISA’
แล้วลองคิดภาพคนส่วนใหญ่ในประเทศดู พวกเขายังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะลงทุนอะไรดี เพราะทั้งปีอาจไม่มีแม้แต่ ‘เงินเก็บ 8,000 บาท’ ให้ตัวเอง
น่าแปลกใจเหมือนกันที่เห็นคนส่วนใหญ่ตั้งคำถามถึง ‘เกมลดหย่อนภาษี’ ด้วยการเริ่มต้นด้วยคำว่า “ถ้ามีเงินเก็บ 800,000 บาทต่อปี แบบไหนดีกว่ากัน”
นี่คือจุดเริ่มต้นของคำถามที่อยากจะชวนทุกคนไปหาคำตอบเพิ่มกันครับ
สรุปเงื่อนไขที่จะเข้า ครม. แบบสั้น ๆ
แม้ว่าจะตอนนี้จะยังเข้าไม่ทัน แต่ก็จับประเด็นได้ว่า รวมเพดานลดหย่อน ‘การออมระยะยาว’ ไว้ที่ 800,000 บาทต่อปี โดยรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
- เงินสะสม PVD / กบข. / กองทุนโรงเรียนเอกชน / กอช.
- กองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ ThaiESG
- และสถานีต่อไป คือ เงินลงทุนบางประเภทในบัญชี TISA
แต่ทั้งหมดนี้เริ่มต้นในปี 2569 ไม่ใช่ตอนนี้ ดังนั้นยังมีเวลาทำความเข้าใจอีกเยอะ และที่สำคัญ คือ เวลาหาเงินมาลดหย่อนด้วยครับ เพราะอันนี้สำคัญสุดสำหรับหลายคน
จากอัตราภาษีขั้นบันได เป็น ตัวคูณใหม่
- คนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี → คูณ 1.3 เท่า
- คนที่มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี → 0.7 เท่า
เข้าใจว่า รายได้ คือ ก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนใดๆ และไม่ใช่เงินได้สุทธิที่ใช้คำนวณภาษีนะครับผม
แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอกครับ สูตรคำนวณภาษีเอย… จงซับซ้อนยิ่งขึ้น
มีบางสินทรัพย์ เช่น ThaiESG หรือหลักทรัพย์ที่รัฐกำหนดในบัญชี TISA ยังได้สิทธิ์ ‘คูณเพิ่ม’ อีก เช่น 1.2 เท่า ก่อนจะเอาไปเข้าเกมคูณ 1.3 หรือ 0.7 อีกรอบ
ที่สำคัญคือ ลงทุนเกิน 800,000 ก็ได้นะ ไม่ต้องกลัวเรื่องซื้อเกินแล้ว แต่ลดหย่อนไม่ได้แค่นั้น
โดยต้องถือทั้งหมดนี้ไว้อย่างน้อย 5 ปี และขาย/ไถ่ถอนเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป
หลักการของ TISA เพิ่มเติมที่พอเข้าใจ คือ เปิดผ่านโบรก / บลจ. ภายใต้ระบบ Digital Access Platform
นอกจากนั้นยังมีพวกดอกเบี้ย ปันผล กำไรจากการขายใน TISA บางส่วนจะ ‘ยกเว้นภาษี’ ถ้าทำตามกติกา ที่กำหนด (สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) ทั้งหมดอิงจากข่าวตอนนี้ ยังต้องรอร่างกฎหมายจริงยืนยันอีกที
ไปต่อ ไปวิเคราะห์กัน
ประเด็นทั้งหมดนี้ทำเพื่ออะไร ?
คำตอบที่พอหาได้ คือ รัฐไม่อยากเสียรายได้เพิ่ม อยากควบคุมวินัยการคลัง และอยากใช้ภาษี ‘กระจายสิทธิ + กระตุ้นการออม + เสริมตลาดทุนไทย’
ฟังดูมีเหตุผลในเชิงนโยบาย แต่พอแยกทีละมุม เราจะเห็นทั้ง ‘ข้อดีที่น่าชื่นชม’ และ ‘คำถามที่ยังค้างใจ’
โอเคไปต่อ..
ภาษีไม่มีวันแฟร์สำหรับทุกคน?
ก่อนจะทะเลาะกันว่าอะไรดี หรือ ไม่ดี ผมว่าเราต้องยอมรับความจริงข้อนึงก่อนว่า
ไม่มีระบบภาษีไหนในโลกนี้ที่ทุกคนรู้สึกแฟร์พร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
ถ้ารัฐออกนโยบาย ‘ช่วยคนจน–คนรายได้น้อย’ คนรายได้สูงจะรู้สึกว่า ‘กูจ่ายเยอะสุดนะจ๊ะเตง’
ถ้ารัฐออกนโยบาย ‘ลดหย่อนเต็มที่ให้คนเสียภาษีเยอะ’ คนฐานล่างจะมองว่า ‘อ้าว แล้วคนไม่มีเงินจะไปอยู่ไหน’
ดีไซน์รอบนี้เลือกจะ ‘ดึง privilege บางส่วนจากคนรายได้สูง’ แล้วโยนแรงจูงใจเพิ่มให้คนที่รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านเก็บเงิน
ในเชิงแนวคิด มันเหมือนจะเดินเข้าทิศ ‘ลดความเหลื่อมล้ำในหมู่คนที่พอออมได้’ แต่ถ้าซูมออกกว่านั้น ยังมีอีกกลุ่มใหญ่ที่เงียบมาก คือ ‘คนที่ไม่มีเงินออม’หรือ ทุกวันนี้แบบว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง
คนกลุ่มนี้ไม่ต้องถามว่า ‘ลดหย่อนด้วยอะไรดี’ เอาแค่ชีวิตวันนี้กูรอดไปก่อนก็ยากพอแล้ว
แน่นอนว่า คนบางคนในกลุ่มที่ว่านี้ เป็นผู้เสียภาษีตามปกติ เพียงแต่ชีวิตไม่มีเงินไปคิดลดหย่อน
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า ‘ใครเสียประโยชน์?’ มันไม่ใช่แค่เกมระหว่าง คนรายได้ 1.5 ล้าน กับ 1.51 ล้าน แต่มี ‘เงาคนบางกลุ่ม’ ที่ถูกกัดอยู่ข้างนอก โดยที่เรายังไม่เคยชวนเขาเข้ามาตั้งคำถามตั้งแต่แรก
ตัวเลข 800,000 บาทคือตัวเลข แต่ชีวิตจริงไม่ใช่อยู่ด้วยตัวเลข อยู่ด้วยเงินจ้า
‘ถ้าลงทุนเต็ม 800,000 บาท จะลดหย่อนได้เท่าไร?’
‘ถ้าคนรายได้เกิน 1.5 ล้าน จะกระทบยังไงบ้าง’
‘คนรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้าน ลงทุนยังไงให้คุ้มสุด’
แล้วก็เริ่มคำนวณกันอย่างสวยงาม
- ฐานภาษี 15% → ประหยัดเท่านี้
- ฐาน 30% → ประหยัดเท่านั้น
- ถ้าคูณ 1.3, 0.7, 1.2 ต่อเข้าไปอีก
เอาจริงๆ ชื่นชมทั้งวิธีคิดและวิธีหาคำตอบนะครับ แต่ปัญหาของการยึดตัวเลข 800,000 บาทตั้งต้นไว้ เราต้องเข้าใจกันว่า คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาออมถึงระดับนั้นเลย
ผมบรรยายเรื่องภาษีช่วงนี้ คำถามที่ได้รับมากที่สุด คือ ‘จะเอาเงินจากไหนมาลดหย่อนดี’ ไม่ใช่ ‘มีเงินเท่านี้ลดหย่อนอะไรได้บ้าง’ ด้วยซ้ำ
และที่สำคัญ คนที่ออมถึง 800,000 บาทหรือมากกว่า เขาก็ต้องตั้งคำถามต่อว่า ควรจะลงขนาดนั้นไหม
เขามีลูก มีพ่อแม่ มีหนี้บ้าน หนี้รถ และอื่นๆ การจะล็อกเงินก้อนแบบนี้ที่ต้องถือ 5 ปี แถมขายตอนอายุ 55 ปีขึ้นไป มันไม่ใช่เรื่องสูตร แต่มันคือเรื่อง ‘สภาพคล่องทั้งชีวิต’
แน่นอนว่ามีคนที่ทำได้ แต่เราก็ต้องยอมรับกันด้วยว่า ไม่ใช่ว่าจะได้ทุกคน
ดังนั้นจำนวนที่ว่าทั้งหมดนี้ อาจจะต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมด้วย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การลงทุนเพื่อลดภาษีโดยไม่มองบริบทชีวิต ทำให้คน ‘ซื้อเพราะกลัวเสียสิทธิ’ ไม่ใช่ ‘ลงทุนเพราะเข้าใจว่าเหมาะกับเป้าหมายตัวเอง’
พอถึงจังหวะชีวิตเปลี่ยน ต้องใช้เงิน แต่ดันติดเงื่อนไข 55 ปี อันนี้ไม่โอเคเหมือนกัน
แม้ว่าจะมีโอกาสนำเงินทั้งหมดที่ลงทุนนี้ไปใช้เป็นหลักประกันได้ เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนด แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้จริงๆ อย่างที่ต้องการไหม
คำถามที่ควรถามเพิ่ม คือ
สำหรับคนที่เก็บได้ 20,000-200,000 บาทต่อปี ระบบนี้ดีไซน์มาช่วยเขาจริงๆ ใช่ไหมครับ
และอีกคำถามหนึ่งซึ่งควรถาม คือ เราจะทำยังไงให้คนที่ยังไม่มีเงินเก็บ 8,000 บาท
มีสิทธิ์ก้าวเข้ามาเล่นเกมการออมระยะยาวได้บ้าง ไม่ใช่บอกว่าต้องพยายาม สู้ๆ ดูสิฉันทำได้เพราะคนเรามีหลากหลายกว่าที่คิด
อีกหนึ่งคำถามที่ต้องตอบให้ชัด คือ จุดตัด 1.5 ล้านบาท – เส้นนี้มาจากไหน?
สมมติฐานอะไรซ่อนอยู่หลัง 1.3 กับ 0.7?
ตัวเลข 1.5 ล้านบาทถูกตั้งให้เป็น ‘เส้นแบ่งโลก’ ในเชิงภาพใหญ่ เราเข้าใจได้ว่ารัฐอยาก ‘เพิ่มน้ำหนักให้ฐานกลาง’
แต่คำถามที่ยังไม่มีใครตอบชัดๆ คือ เส้น 1.5 ล้านบาท มาจากอะไร ใครอยู่แถวนี้มากที่สุด และมันทำให้กระทบแค่ไหน เมื่อบังคับใช้ตัวเลขนี้จริงๆ เพราะคนรายได้ 1.5 ล้าน กับเกิน 1.5 ล้านลงทุนในจำนวนใกล้ๆ กัน แต่ผลที่ได้ต่างกันหลายหมื่นจากการข้ามเส้นเดียว
ในทางเทคนิค รัฐสามารถใช้วิธีอื่นได้ เช่น ให้ตัวแปรมัน ‘สไลด์’ ตามช่วงรายได้
หรืออัตราภาษีเงินได้ที่เสียในปัจจุบัน แต่เอาเถอะ ฉันมันก็คนธรรมดา
ได้แต่พูด แต่วิจารณ์ จะไปรู้อะไรเล่า
ว่าแต่ ตัวเลข 1.3 กับ 0.7 มาจากไหนนะ? โอเค.. ไม่ถามก็ได้
ปัญหาหลักของเราจริงๆ อาจไม่ใช่ ‘ลดหย่อนได้เท่าไร’ แต่อยู่ที่ ‘เราเช็กการใช้ภาษีของรัฐมากแค่ไหน’
เวลามีนโยบายภาษีใหม่ๆ เราจะได้ยินคำถามทำนองว่า ‘ทำไมไม่ไปเก็บคนรวยนอกระบบก่อน?’ ‘ทำไมไม่ปิดรูรั่วคอร์รัปชันก่อน?’ คำถามเหล่านี้ถูกต้อง และควรถาม
แต่มีอีกประเด็นที่เราคุยกันน้อยมาก คือในฐานะคนจ่ายภาษี เราควรตั้งคำถามเรื่อง ‘คุณภาพการใช้จ่ายภาครัฐ’ มากขึ้นไหม และจะตั้งคำถามนี้ได้อย่างไรดี เพื่อให้เราพอใจกับคำตอบ
อ้อ แต่เขาบอกว่าจะมีเลือกตั้งเร็วๆ นี้ ไม่แน่ใจว่าถามตอนนั้นจะดีไหม อยากฟังสัญญาประชาคมจัง
เอาจริงๆ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบรัฐบาลไหน เราก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับนโยบายภาษีของเขาอยู่ดี
คำถามคือเรามีระบบตรวจสอบมากพอหรือยัง มากกว่าการหวังแค่คนดีมาใช้เงินภาษีให้เรา
เราสามารถเก่งมากในเกม ‘เลือก RMF/ThaiESG/TISA ยังไงให้ลดหย่อนได้มากสุด’ แต่ถ้าเราไม่เก่งเลยในเกม ‘เช็กการบ้านรัฐ + ทวงถามการใช้ภาษี’ เราก็ยังอยู่ในประเทศที่ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ประเทศที่คนเสียภาษีเยอะแค่ไหน แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับคืนมา
TAX Privilege ที่เราควร ‘คาดหวังอย่างมีสติ’ คืออะไรกันแน่? แล้วเราควรได้มันแน่เหรอ
สำหรับคนที่เสียภาษีเยอะมาทั้งชีวิต ความรู้สึกฝังลึกมีอยู่จริงว่า “กูจ่ายเยอะมาตลอด แต่สิทธิที่ได้ไม่ได้เยอะกว่าคนอื่นเท่าไหร่ วันนี้พอถึงเวลาเล่นเกมลดหย่อน ก็โดนหั่นสิทธิอีก แบกจนเหนื่อย”
แต่ในส่วนหนึ่ง เราก็ต้องยอมรับด้วยว่า ที่ผ่านมาสิทธิลดหย่อนภาษีด้านการออม
ไปตกกับกลุ่มผู้มีรายได้สูงเยอะเกินไป ถึงเวลาต้องดึงกลับมาหน่อยให้เหมาะสม
โดยส่วนตัวผมว่า TAX Privilege ที่ดี ไม่ควรสุดโต่งไปทางไหนทางหนึ่ง ไม่ใช่ยิ่งรวย ยิ่งลดหย่อนได้โหด แต่ก็ไม่ใช่แบบที่ตัดสิทธิคนในระบบภาษีจนแทบไม่เหลืออะไร แล้วปลอบใจด้วย 400 บาท ปีละครั้ง เอาไปใช้กันเลย
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นพร้อมกันคือ
1. ถ้าจะ ‘ลดสิทธิ’ ของผู้มีรายได้สูงจริงๆ รัฐต้องกล้าหันไปจัดการสิทธิพิเศษของกลุ่มอื่นด้วย BOI, ช่องโหว่ของทุนใหญ่, ไปจนถึงสวัสดิการ/โครงการที่ใช้เงินกู้หรือภาษีแบบไม่คุ้มค่า
2. ถ้าอยากให้คนฐานบนรู้สึกว่า ‘ไม่ได้เจ็บตัวฟรี’ รัฐต้องทำให้เขารู้สึกว่า ‘เงินภาษีที่จ่ายไป ถูกใช้เพื่อสร้างระบบที่ดีขึ้นจริงๆ’ ทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพการศึกษา สาธารณสุข และโอกาสของคนข้างล่าง
3. สำหรับคนฐานล่างและนอกระบบ อาจจะอยากได้แค่ การเข้าถึงประกันสังคมที่มีคุณภาพ สวัสดิการพื้นฐานที่แท้จริง ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีแฝง ที่ไม่กินสัดส่วนรายได้เขามากเกินไป
ถ้าเราคุยเรื่อง privilege แบบแค่ใครลดหย่อนได้เท่าไร? แบบไหนแฟร์ที่สุด
เราจะลืมง่ายมาก ว่าคนจำนวนมหาศาลในประเทศนี้ไม่มี privilege ใดๆ ให้ใช้เลยแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้น อาจจะต้องคุยกันทุกมุมมากกว่าแค่มุมการออมและการจัดการเงิน
แต่จะคุยกับใครดีหว่า? โอเค ผมคุยคนเดียวนี่แหละครับ
สรุปทั้งหมดนี้ TISA, ตัวคูณ 1.3 / 0.7, เพดาน 800,000, เส้น 1.5 ล้าน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และควรคุยกันต่อให้ละเอียด
แต่ก่อนจะเถียงกันต่อในแต่ละประเด็น เพื่อให้เห็นคำถามและคำตอบที่ดีที่สุด ผมอยากชวนกลับไปที่คำถามแรกอีกที นั่นคือ ‘ในประเทศที่คนจำนวนมากยังถามตัวเองอยู่ทุกเดือนว่าจะหาเงินให้พอใช้สิ้นเดือนจากไหนดี’
เกมลดหย่อนภาษีไม่ควรจบที่ 800,000 บาท แต่ควรไปต่อในมุมที่อยากทำให้ทุกคนเข้าสู่ระบบภาษี และรู้ว่าตัวเองจะสร้างชีวิตที่มีเงินออมได้อย่างไร?
ขอบคุณครับ
ภาพ: tuaindeed/Getty Images


