“น้ำท่วมคือภัยธรรมชาติ แต่ความสูญเสียคือความล้มเหลวจากการบริหารจัดการ และความล้มเหลวของระบบ”
คือมุมมองสะท้อนของวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ครั้งล่าสุด จาก ผศ.ดร. สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างรับมือภัยพิบัติ ที่มาจากบทเรียนครั้งใหญ่จากอุทกภัยปี 2554 แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลไกสำคัญกลับไม่ถูกใช้งานอย่างที่ควรจะเป็น
ผลลัพธ์ราคาแพงที่ภาคใต้ต้องเผชิญ ไม่ได้มีเพียงภาพน้ำท่วม แต่เป็นชุดความสูญเสียที่สะท้อนการผิดพลาดเชิงระบบ ตั้งแต่ชีวิตคนไปจนถึงโครงสร้างเมือง เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของฝนที่ตกหนัก แต่คือคำถามต่อทัศนคติและความพร้อมของไทยในการปกป้องชีวิตผู้คนในยามวิกฤต
ไทย ‘ทิ้ง’ ภาคใต้ไว้กลางทาง โครงสร้างมีครบ แต่การขับเคลื่อนสะดุด
ผศ.ดร. สิตางศุ์ระบุว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 ทำหน้าที่เป็น ‘หัวขบวน’ กำกับดูแลประเด็นด้านน้ำ ทั้งในภาวะปกติและวิกฤต ถือเป็นการถอดบทเรียนครั้งสำคัญจากน้ำท่วมปี 2554 ซึ่งไร้ ‘เจ้าภาพ’ ด้านการบริหารจัดการ
นอกจากนี้ ไทยยังมีเครื่องมือทางกฎหมาย อย่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 หรือ ‘พรบ.น้ำ’ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการกับอุทกภัยในยามวิกฤต ซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และบรรเทาความเสียหายทางน้ำได้
สำหรับขั้นตอนการบริหารจัดการ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อธิบายว่า ตามปกติแล้ว ต้องมีการประชุมล่วงหน้าภายในกลุ่มอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งอยู่ภายใต้ สทนช. และประกอบด้วยบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น รองเลขาธิการสทนช., ปลัดกระทรวงคมนาคม, กระทรวงเกษตร, อธิบดีสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมสาธารณะป้องกันภัย (ปภ.)
ในการประชุมกลุ่มอนุกรรมการฯ บริหารจัดการน้ำ มักเกิดขึ้นก่อนเข้าสู่ฤดูฝนเพื่อประเมินสถานการณ์ โดยใช้ข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นตัวตั้งในการประเมิน เช่น การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน หรือการอัปเดตข้อมูลรายละเอียดทุกเดือน ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายร่วมกันในขั้นตอนมา
เมื่อมีการคาดการณ์ว่า ภูมิภาคใดมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภัยพิบัติ ก็จะมีการตั้งศูนย์ส่วนหน้าในพื้นที่นั้น โดยส่วนกลางต้องทำงานร่วมกับมีหน่วยงานระดับท้องถิ่น ขณะที่ระดับจังหวัดก็มีการเตรียมความพร้อม เช่น การซ้อมรับมือภัยพิบัติ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์อพยพ การส่งข้าว-น้ำ และเส้นทางอพยพ
โครงสร้างเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับมือสถานการณ์ในภาคอีสานและภาคกลางแล้ว แต่ ผศ.ดร.สิตางศุ์ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การ ‘ทิ้ง’ ภาคใต้ไว้กลางทาง คือ ไม่มีการตั้งศูนย์ส่วนหน้ารอ และไม่มีการประเมินสถานการณ์ให้
“ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ พอรู้ว่า เข้าหน้าฝน จังหวัดก็ต้องรู้แล้ว มันเป็นฤดูกาลของ ปภ. ที่ต้องเอาแผนออกมาซักซ้อมก่อนจะเข้าสู่หน้าฝน มีอะไรก็ต้องคลี่ออกมา เช่น ศูนย์อพยพอยู่ตรงไหน แล้วเกิดเหตุขึ้นจะส่งข้าวส่งน้ำอย่างไร เส้นทางอพยพเป็นอย่างไร
“หลังตอนเกิดเหตุสึนามิ เราเคยซ้อมกันอย่างแบบแข็งขันมากเลย แต่พอเวลาไป แผนก็คือแผน แล้วก็ยังมีคำถามว่า ตกลงเราได้ซ้อมกันจริงหรือเปล่า” ผศ.ดร.สิตางศุ์ตั้งคำถาม
รับมือภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องเสี่ยงดวง แต่ต้องตั้ง KPI ที่ไม่มีผู้สูญเสีย
“น้ำท่วมคือภัยธรรมชาติ แต่ความสูญเสียคือความล้มเหลวจากการบริหารจัดการ และความล้มเหลวของระบบ”
ผศ.ดร.สิตางศุ์อธิบาย การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติไม่ใช่เรื่องของการเสี่ยงดวง แม้จะมีกรณีเทียบเคียงกับสถานการณ์ในต่างประเทศ เช่น เหตุน้ำท่วมญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ ซึ่งเธอก็ยอมรับว่า ปัจจัยทางธรรมชาติคือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และวิกฤตโลกเดือดก็มีแต่จะเกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งที่ต้องยอมรับ คือ ความสูญเสียครั้งนี้เกิดจากความล้มเหลวจากการบริหารจัดการและระบบ ซึ่งข้องเกี่ยวกับ ‘ทัศนคติ’ ของประเทศนั้นๆ เช่นในกรณีหลายประเทศ การรับมือสถานการณ์ดังกล่าว เปรียบเสมือนการทำ ‘สงคราม’ และมีการตั้งตัวชี้วัด หรือ KPI ชัดเจนว่า ต้องไม่มีคนตาย และทุกคนต้องรอด ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดในการจัดการวิกฤต
“ทัศนคติของพวกเขา คือ การรับมือภัยพิบัติที่จะทำให้เกิดภาวะวิกฤตกับประเทศ มันคือการทำสงคราม เราต้องเอาชนะ มันคือ KPI ที่ต้องไม่มีคนตาย”
“สิ่งที่เราทำคือการ ‘เสี่ยงดวง’ ว่า ภัยพิบัติจะมาทางไหน เพราะการคาดการณ์เราก็แม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ซึ่งก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว เมื่อมันเกิดขึ้นก็เสี่ยงดวงเอา การเตรียมการก็เตรียมระดับหนึ่ง แต่ที่เหลือคือเสี่ยงดวง คือไปแก้ปัญหาหน้างาน ทั้งๆ ที่เรามีแผนลุ่มน้ำ ปภ.มีแผนรับมือภัยพิบัติระดับจังหวัด”
ผศ.ดร.สิตางศุ์อธิบายต่อว่า เมื่อมีเป้าหมาย คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่มีคนตาย สิ่งที่ตามมาคือรัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชน ‘ตระหนก’ จนถึงขั้นต้องย้ายออก ซึ่งนี่คือหนึ่งในขั้นตอนการประเมินและเตรียมการสถานการณ์ภายใต้วิกฤตร้ายแรง (Worst Case Scenario) ถึง 4 ข้อ
- การจัดการคน เช่น การอพยพ การดูแลคนติดค้าง การส่งข้าวส่งน้ำ หรือการช่วยเหลือออกมา
- การจัดหาข้าวของที่จำเป็นสำหรับการยังชีพ หรือการเตรียมพร้อมในแคมป์อพยพ เช่น อาหาร น้ำ ส้วม ฟูก หรือที่นอน โดยเฉพาะของที่ใช้ได้ต้องเตรียมไว้ก่อน
- สถานการณ์น้ำ เป็นการจัดการเพื่อคลี่คลายสถานการณ์น้ำ เช่น การเร่งสูบ หรือการคาดการณ์ระยะเวลาที่ธรรมชาติจะคลี่คลายด้วยตนเอง
- ข้อมูลข่าวสาร หรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องออกไป
ผศ.ดร.สิตางศุ์เปรียบเทียบกรณีใกล้เคียงการรับมือภัยพิบัติอย่างมาเลเซีย ที่เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมเหมือนกันว่า สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ มาเลเซียมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าไทย และสามารถอพยพได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกอย่างเริ่มตั้งแต่ระบบ เช่น การจับสัญญาณฝน และการเตือนภัย 3 วันล่วงหน้า (3 Days Alert)
“ถามว่า ประเทศไทยไม่มีโมเดลแบบนี้หรือ มีสิ ทุกวันนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์อากาศได้ 3-7 วัน เรายังมีฝนเรดาร์ที่คาดการณ์ได้ 3 ชั่วโมงอย่างแม่นยำอีก แต่พอได้ข้อมูลมา เราประเมินสถานการณ์ต่อหรือเปล่า”
อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรน้ำมองว่า การที่รัฐปล่อยให้เกิดเหตุน้ำท่วมรอบที่ 2 ในภาคใต้ ถือเป็นเรื่องที่ ‘ให้อภัยไม่ได้’ และขณะนี้ คนในพื้นที่ยังรู้สึกตกใจอยู่ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ฝนจะมาอีกหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ ผศ.ดร.สิตางศุ์ระบุว่า นี่เป็นเพียง ‘ฝนแรก’ ของภาคใต้เท่านั้น และยังต้องจับตาดูสถานการณ์ในเดือนธันวาคม-มกราคมต่อไป
มองสถานการณ์ฟื้นฟูภาคใต้หลังน้ำท่วม รัฐต้องทำอย่างไร
“ตอนนี้แค่ขอโทษยังไม่พอ การขอโทษอาจจะคลี่คลายอารมณ์ได้นิดเดียว แต่รัฐบาลต้องรู้ก่อนว่า ตัวเองบกพร่องเรื่องไหน”
ผศ.ดร.สิตางศุ์มองว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำต่อไป คือ การรับมือสถานการณ์ในเดือนธันวาคม-มกราคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และต้องเอาจริงเอาจังกับการตั้ง KPI ที่ต้องไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ต้องหลีกเลี่ยงนำ ‘การเมือง’ มายุ่งเกี่ยวกับประเด็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และให้ ‘มืออาชีพ’ ทำงาน
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่อยู่ในช่วงฟื้นฟู ผศ.ดร.สิตางศุ์ระบุว่า ต้องครอบคลุมในเรื่องการจัดการคน ทั้งกรณีเสียชีวิต, ติดค้าง หรือเยียวยาชดเชย หรือการจัดการทรัพยากร เช่น สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต หรือปัญหา ‘ขยะ’ ก็เป็นเรื่องที่รัฐเพิกเฉยไม่ได้ ซึ่งกลุ่มอาสาและภาคประชาสังคมที่นำโดย สมบัติ บุญงามอนงค์ ร่วมกับ ThaiPBS ก็ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว
ขณะเดียวกัน เรื่องการฟื้นฟูจิตใจก็เป็นสิ่งที่เพิกเฉยไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประสบภัย ซึ่งรัฐต้องเตรียมการ และใช้บุคลากรจำนวนมาก
ภาพ: KARIT CHAUI-AKSORN


