ปี 2025 ที่ผ่านมา ทองคำ และ หุ้น Emerging Market กลายเป็นฮีโร่ที่ให้ผลตอบแทนแซงหน้าหุ้นสหรัฐฯ อย่างน่าประหลาดใจ สำหรับปี 2026 มีแนวโน้มจะเข้าสู่สถานการณ์ Goldilocks ภาวะนี้คืออะไร และควรจัดพอร์ตลงทุนแบบไหน
รุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ CFA ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่าภาพรวมการลงทุนในปี 2025 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างจากความคาดหวังในช่วงต้นปีอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงต้นปี นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าหุ้นสหรัฐฯ จะดูดี และหุ้นประเทศอื่นๆ จะได้รับผลกระทบด้านลบและความผันผวนสูง สืบเนื่องจากความกังวลหลังการได้รับเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จริงที่เกิดขึ้นจริง มีดังนี้
- ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
- หุ้น Emerging Market (EM) เป็นอันดับรองลงมาซึ่งไม่นับรวมตลาดหุ้นไทย และ EM สามารถแซงหน้าหุ้นสหรัฐฯ ได้
การปรับตัวขึ้นของตลาด EM มีสาเหตุสำคัญมาจากการที่สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีในเดือนเมษายน ซึ่งทำให้เกิดความต้องการดอลลาร์ลดลงเนื่องจากการนำเข้าสินค้าที่น้อยลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง และเกิดกระแสเงินทุน (Fund Outflow) ไหลออกจากสหรัฐฯ ไปสู่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น เกาหลี จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ขณะที่ทองคำได้รับอานิสงส์จากประเด็น De-Dollarization , ภาวะเงินเฟ้อ, และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ลงทุน ฮีโร่ ในช่วงที่ผ่านมา
เปิดมุมมองปี 2026 สู่สถานการณ์ Goldilocks
สำหรับปี 2026 SCB ได้ตั้งโจทย์การลงทุนไว้ที่ Gold or Goldilocks ซึ่งเป็นสองสถานการณ์ที่ตรงกันข้ามกัน
- Gold Situation คือสถานการณ์ที่นักลงทุนไม่มั่นใจในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ และหันมาลงทุนในทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยรักษาความมั่งคั่งและมูลค่าเอาไว้
- Goldilocks Situation คือสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ
- เศรษฐกิจโลกขยายตัวในอัตราที่เหมาะสมที่ระดับ 2-3% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยไม่ได้อยู่ในขาขึ้น ซึ่งอยู่ในขาลง หรือกำลังจะลง
- อัตราเงินเฟ้อไม่พุ่งขึ้นแรง หรือแกว่งตัวในกรอบแคบๆ
โดยประเมินว่า แนวโน้มของปี 2026 มีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้าสู่สถานการณ์ Goldilocks โดยพิจารณาจากสัญญาณทางเศรษฐกิจหลักของสหรัฐฯ ดังนี้
- เงินเฟ้อของสหรัฐฯ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่เพิ่มขึ้นในปีหน้า และผลกระทบจากเรื่องภาษีอาจจะส่งผลในช่วงปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027 ไปแล้ว
- นโยบายการเงิน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ร้อนแรงเกินไป และเงินเฟ้อไม่สูงเกินไป จึงเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแนวโน้ม ปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับลดหลายรอบ
- GDP ของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีตัวขับเคลื่อนใหม่ คือ AI Disruption
กลยุทธ์การลงทุนและสินทรัพย์แนะนำ
หากเกิดสถานการณ์ Goldilocks สินทรัพย์ที่น่าลงทุน ได้แก่
- หุ้นคุณภาพสูง โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่มีผลประกอบการโดดเด่น เช่น กลุ่ม Magnificent Seven (Mag 7) หรือหุ้นที่มีคุณภาพรองลงมา
- ตราสารหนี้ ยังคงควรลงทุนได้ และแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง หรือ ไม่ยาวมาก เนื่องจากมีความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อในระยะยาว
- กลุ่มธุรกิจ Cyclical, Luxury เช่น การท่องเที่ยว หรือสินค้าฟุ่มเฟือย
ความสำคัญของทองคำในการจัดพอร์ต
รุ่งโรจน์ แนะนำการจัดพอร์ตด้วยกลยุทธ์ Core Portfolio + Opportunistic + Gold โดยมองว่าทองคำสามารถนำมาใช้แทนส่วนของเงินสดได้ในบางสถานการณ์
ทองคำเหมาะสมที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการ กระจายความเสี่ยง เพราะจากการวัดค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) พบว่า ทองคำมีค่าความสัมพันธ์กับหุ้น S&P 500 เพียง 10% ซึ่งหมายความว่าการมีทั้งทองคำและหุ้นสหรัฐฯ ในพอร์ตจะช่วยในการกระจายความเสี่ยงได้ดี สถิตินี้บ่งชี้ว่า การเพิ่มทองคำเข้ามาในการจัดสรรสินทรัพย์เป็นเรื่องที่น่าสนใจในขณะนี้
SCB ชู Multi-Asset ตอบโจทย์ ‘Stay Invest’
สำหรับนักลงทุนที่มองว่าการจัดสัดส่วนและปรับพอร์ตเองเป็นเรื่องไม่ง่าย SCB ได้นำเสนอกองทุนหลัก (Core Portfolio) ที่กำลังอยู่ระหว่างการเสนอขาย IPO คือ กองทุน SCBGMLITE(A)
SCBGMLITE(A) เป็นกองทุน Multi-Asset ที่มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 60%, หุ้น 10% และที่เหลือเป็น Liquid Alternative ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
โดยความแตกต่างของกองทุนนี้คือ การหาพาร์ทเนอร์มาช่วย Customize การลงทุนให้เหมาะกับลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีความใกล้ชิดและความเข้าใจต่อความรู้สึกของลูกค้ามากกว่ากองทุน Multi-Asset ทั่วไปในตลาด
รุ่งโรจน์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ Stay Invest ว่ามีผลดีในระยะยาว ซึ่งข้อมูลสถิติชี้ให้เห็นว่า การลงทุนแบบยาวๆ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่ามาก เช่น 400% เทียบกับ 100% เมื่อเทียบกับการขายทำกำไรระยะสั้นหรือการหมุนพอร์ตบ่อยๆ แม้ว่าการหมุนพอร์ตบ่อยอาจทำให้ Drawdown หรือมีความผันผวนขาลงต่ำกว่า แต่ก็จะแลกมาด้วย Upside ที่น้อยกว่า กองทุนอย่าง SCBGMLITE(A) จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การ Stay Invest ในลักษณะนั้น
4 ตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตาในปี 2026
เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างมีทิศทาง นักลงทุนต้องติดตามตัวชี้วัดสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
- เทรนด์อัตราดอกเบี้ย แนวโน้มดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร.
- อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะช่วงปลายปีหากประเด็นภาษียังไม่จบ
- การซื้อทองคำของธนาคารกลาง การเปลี่ยนแปลงนโยบายการซื้อทองคำของประเทศต่างๆ
- ความขัดแย้งระหว่างประเทศ สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นใหม่
ภาพ: K.unshu/Shutterstock


