×

วิกฤตแพทย์ขาดแคลน ผู้รับเคราะห์คือประชาชน

07.06.2025
  • LOADING...
chronic-doctor-shortage-thailand-analysis

การขาดแคลนแพทย์เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมานานกว่า 20 ปี เราจะได้ยินเสียงบ่นว่าจำนวนหมอไม่สอดคล้องกับผู้ป่วยอยู่เสมอ จนปัญหานี้กลายเป็นเรื่องเรื้อรังที่ยากจะแก้ แม้ว่าตัวเลขจะแสดงให้เห็นว่าเรามีจำนวนหมอเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ทำไมต่อให้มีหมอเพิ่มมากแค่ไหน ก็ไม่เคยเพียงพอ  

 

ปัญหานี้เกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้แพทย์จำนวนมากเลือกที่จะออกจากระบบ และการที่ไทยไม่มีแพทย์เพียงพอ ใครจะเป็นผู้รับเคราะห์จากวิกฤตนี้?

 

ภาระงานสวนทางค่าตอบแทน แพทย์แห่ลาออกจากระบบ

 

รัฐมีสิ่งที่ต้องทำหลายอย่างเพื่อประชาชน และหนึ่งในหน้าที่สำคัญคือการให้บริการสาธารณสุข ดูแลรักษา และเยียวยาความเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารัฐกำลังมีปัญหาในการทำหน้าที่ดังกล่าว เพราะต้องเผชิญกับการขาดแคลนแพทย์ในระบบสาธารณสุข 

 

เราได้พูดคุยกับ พญ.ชลทิพย์ ธีระชาติสกุล แพทย์ชำนาญการพิเศษ ตัวแทนสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน เธออธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า แม้เธอจะไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นแพทย์ระดับปฏิบัติงานที่ได้เห็นวัฏจักรของวงการแพทย์ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งถ้ามองแค่ตัวเลข เราสามารถผลิตแพทย์ได้เยอะขึ้นจริง แต่ทำไมปัญหาถึงยังคงมีอยู่เหมือนเดิม

 

พญ.ชลทิพย์: “ถ้าเกิดเอาตัวเลขขึ้นมา ก็จะบอกอยู่แล้วว่าผลิตได้เยอะกว่าเดิม อย่างคุณพ่อพี่เป็นหมอแล้ว เลข ว. หมายถึงเลขรหัสว่าเป็นหมอคนที่เท่าไหร่ของประเทศ อยู่ที่ 6,000 กว่าๆ แล้วพี่ 30,000 กว่า พอ 40-50 ปีผ่านไป ก็ผลิตหมอจาก 6,000 ปลายขึ้นมาได้ประมาณ 30,000 ต้นๆ แต่ทีนี้จากยุคพี่ไปถึงน้องรุ่นปัจจุบันซึ่งมันก็ห่างกันอาจจะประมาณสักแค่ 10 กว่าปี มันเป็นแบบ 7-8 หมื่นแล้ว ซึ่งจริงๆ อัตราการผลิตมันผลิตเยอะขึ้นมาก ยังไม่รวมว่าพวกที่เขาเรียนมาจากต่างประเทศแล้วเขาก็มาสอบเอา เลข ว. อีก แต่ทำไมเรารู้สึกเหมือนกับว่ามันดูยิ่งขาดแคลนลงไปกว่าเดิม”

 

ผลิตหมอได้มากขึ้น แต่ทำไมยังดูขาดแคลน เป็นคำถามที่น่าสนใจมากครับ คุณหมอชลทิพย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า หากดูการทำงานสมัยก่อน เรามักจะเห็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปผ่าตัดได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งที่บางอย่างอาจไม่ใช่สิ่งที่แพทย์รายนั้นมีความชำนาญ อาจจะเคยเรียนมาครั้งเดียว หรืออ่านจากตำราแล้วมีความจำเป็นต้องลงมือปฏิบัติ เพราะสถานพยาบาลนั้นๆ ไม่ได้มีแพทย์เพียงพอ และถ้าไม่ลงมือรักษา คนไข้อาจเสียชีวิตได้ 

 

แต่ปัจจุบันด้วยมาตรฐานการรักษาที่สูงขึ้น แพทย์มีจำนวนเพิ่มขึ้น สังคมให้ความสำคัญในการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญแบบเฉพาะทางมากขึ้น และหลายครั้งแพทย์ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องสูงขึ้น การที่แพทย์หนึ่งคนต้องผ่าทุกอย่างจึงเริ่มมีน้อยลง และปัจจุบันก็เกิดการกระจุกตัวของแพทย์เฉพาะทางตามโรงพยาบาลหัวเมืองใหญ่ ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ก็ยังมีปัญหาเรื่องแพทย์ขาดแคลนเหมือนเดิม

 

และเมื่อเราดูข้อมูลอย่างเป็นทางการ จะเห็นว่าในปี 2567 กระทรวงสาธารณสุขมีแพทย์ในสังกัดราว 24,000 คน แต่การทำงานของแพทย์ก็ยังคงสูงอยู่ด้วยตัวเลขแพทย์หนึ่งคนต่อประชากร 2,000 คน แต่มีแพทย์ลาออกมากถึง 455 คน ยังไม่รวมแพทย์เกษียณอีกประมาณ 200 คน 

 

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แสดงความคิดเห็นว่าชีวิตการทำงานของแพทย์ในอดีตจนถึงปัจจุบันไม่ได้แตกต่างกันมาก ทั้งเวลาการทำงาน ภาระงาน ค่าตอบแทน ที่แต่ละช่วงเวลาก็มีเหตุผลแวดล้อมต่างกันไป 

 

และจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองของแพทย์ เราจะเห็นสิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยอย่างอัตราบัญชีเงินเดือนแพทย์รับราชการ กับอัตราบัญชีเงินเดือนของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือที่เราเรียกกันว่า ก.พ. ซึ่งเงินเดือนไม่ได้สูงมาก ทำให้เมื่อก่อนแพทย์ส่วนใหญ่เลยมองว่าการเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไป คู่กับทำงานนอกเวลาในโรงพยาบาลเอกชนจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ทั้งโจทย์เรื่องค่าตอบแทนที่มากกว่าการทำงานในโรงพยาบาลรัฐประมาณ 5-10 เท่า รวมถึงโจทย์ใหญ่อีกเรื่องอย่างการไม่ต้องแบกความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจในการควงเวรทำงานหนักหลายชั่วโมงติดต่อกัน

 

เวลาทำงานและการควงเวรที่ว่าหนักขนาดไหน? จากข้อมูลในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นายแพทย์รายหนึ่งเขียนอธิบายเวลาการทำงานไว้ว่า ชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ขึ้นอยู่กับจำนวนแพทย์ที่มีในแผนก เช่น ถ้าแผนกมีแพทย์ 2 คน ก็จะต้องทำงาน 108 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้ามีแพทย์ 3 คน ต้องทำงาน 85 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้ามีแพทย์ 4 คนจะต้องทำงาน 74 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้ามีแพทย์ 5 คน จะทำงาน 68 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทั้งที่แพทยสภาเคยให้แนวทางไว้ว่าแพทย์ควรอยู่เวรไม่เกิน 15 เวรต่อเดือน และเวรรวมไม่ควรเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ 

 

แต่การทำงานที่ว่านี้ยังไม่ได้รวมถึงเวรห้องฉุกเฉิน เวรชันสูตรพลิกศพ และเวรอื่นๆ เท่ากับว่าถ้าโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่มีหมอเยอะ ก็จะมีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตนอกโรงพยาบาลได้มากขึ้น ตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลหรือแผนกที่มีหมอน้อย ก็จะต้องควงเวรและทำงานนานขึ้น 

 

ส่วนคุณหมอชลทิพย์เล่าว่า พอต้องควงเวรนานมากขึ้นเรื่อยๆ แพทย์จบใหม่จำนวนมากถึงขั้นยอมขายเวรตัวเองแล้วแถมเพิ่มเงินให้คนซื้อ เช่น การเข้าเวรวอร์ดฉุกเฉินในโรงพยาบาลประจำจังหวัดอาจได้เงิน 1,200-2,000 บาท แต่หมอเจ้าของเวรเลือกขายแล้วเพิ่มเงินให้คนซื้อเป็น 3-4 พันบาท แลกกับการให้ตัวเองที่มีวันหยุดพักผ่อนบ้าง 

 

พญ.ชลทิพย์: “พอเราอยากจะได้มาตรฐานที่มันดีๆ มันก็ควรที่จะต้องเหมือนกับว่าได้มีสติสัมปัชญญะดีๆ ที่ได้ดูคนไข้ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย แต่บางทีมันเป็นความอยุติธรรมด้วย”

 

เพราะนอกจากปัญหาเรื่องภาระงานและเวลาการทำงานที่ล้นเกิน โครงสร้างของระบบราชการ ที่ปล่อยให้สภาพที่เกิดขึ้นเป็นแบบตามมีตามเกิด ก็ผลักให้คนทำงานต้องออกจากระบบมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงวัฒนธรรมองค์กรของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ก็ส่งผลให้แพทย์จำนวนหนึ่งไม่ทนอยู่ต่อแล้วลาออกด้วยเหมือนกัน 

 

การทำงานในโรงพยาบาลคือการทำงานเป็นทีม พอแต่ละแผนกมีเจ้าหน้าที่พากันลาออกมากขึ้น ในระหว่างหาคนใหม่มาทำงาน คนที่ยังอยู่ก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้นทั้งในและนอกเวลาราชการ สร้างความเหนื่อยล้าจนทำให้เกิดวงจรการลาออก เวียนเข้าเวียนออกของแพทย์พยาบาล

 

รศ.นพ.ฉันชาย มองว่าบรรยากาศในการทำงานส่งผลอย่างมากต่อกำลังกายและกำลังใจของแพทย์ คนทำงานไม่ควรเผชิญกับปัญหาการไม่ได้รับความดูแลที่ดีพอ และตัวเลขเวลางานกับการดูแลคนไข้ในหอผู้ป่วยก็จะต้องสมเหตุสมผล 

 

ปัญที่ทั้งหมดที่เล่ามายังคงมีอยู่ แต่เมื่อไม่นานมากนี้ เราจะเห็นเทรนด์บางอย่างที่เปลี่ยนไป จากสมัยก่อนจะเป็นการลาออกจากโรงพยาบาลรัฐไปเปิดคลินิก ควบคู่กับการทำงานเสริมในโรงพยาบาลเอกชน ปัจจุบันกลายเป็นว่าหมอทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของคลินิก เพราะหมอจะถูกดึงตัวไปด้วยเทรนด์สุขภาพและความงามรูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 20 ปีมานี้ อย่าง ‘คลินิกเสริมความงาม’ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

แพทย์จบใหม่ไม่อยากใช้ทุน หันซบคลินิกเสริมความงาม 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยวิเคราะห์เกี่ยวกับธุรกิจสุขภาพและความงามไว้เมื่อปี 2554 หรือเกือบสิบกว่าปีที่แล้ว ว่าเทรนด์การดูแลตัวเองโดยเฉพาะกับผิวพรรณและความงาม ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่กลุ่มหญิงวัยกลางคนที่มีกำลังซื้อสูง แต่ขยายวงไปยังกลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน และเพศชายมากขึ้น

 

ในปี 2560 ธุรกิจความงามมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท และในปี 2565 มีมูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท และจากการประเมินตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยปี 2568 พบว่ามีมูลค่ามากถึง 76,500 ล้านบาท โตขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามกว่า 85% จะมาจากกลุ่มคลินิก ที่ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ ประกอบกับสภาพสังคมไทยในปัจจุบันอย่างการเป็นสังคมสูงอายุ ก็ยิ่งทำให้ตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามได้รับโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นอีกด้วย 

 

เมื่อสังคมไทยเรามีคนแก่มากขึ้น ความต้องการศัลยกรรมหรือหัตถการชะลอวัยก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2571 ไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุราว 14 ล้านคน โดย 22% ของประชากรกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีรายได้สูง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังจ่ายเพื่อให้แพทย์ใช้เทคโนโลยีชะลอวัย ที่เมื่อรวมกับค่านิยมในสังคมเปิดกว้างเรื่องการทำศัลยกรรมและหัตถการประเภทต่างๆ เราจะเห็นคลินิกความงามอยู่ทั่วทั้งเมือง ซึ่งจำนวนคลินิกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็สวนทางกับจำนวนแพทย์ที่ไม่ได้โตตาม 

 

วิธีการที่คลินิกความงามดึงแพทย์จบใหม่รวมถึงแพทย์ทั่วไปก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพราะเมื่อสถานศึกษาผลิตแพทย์จบใหม่ออกมา ก็จะมีแพทย์กลุ่มที่ต้องใช้ทุน จำเป็นต้องไปอยู่ตามโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเป็นเวลา 3 ปี ท่ามกลางสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ได้ดี บางที่ต้องควงเวรติดต่อกันหลายสิบชั่วโมง ได้รับค่าตอบแทนที่มีทั้งเงินเดือน เบี้ยกันดาร ค่าเข้าเวร ประมาณ 6-7 หมื่นบาทต่อเดือน 

 

ขณะที่อีกทางเลือกหนึ่งของแพทย์จบใหม่ คือการยอมโดนปรับประมาณ 4-5 แสนบาท แต่ไม่ต้องไปอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัดเพื่อใช้ทุน แล้วไปทำงานอยู่ในคลินิกเสริมความงาม ควบคู่กับการเข้าเวรในโรงพยาบาลเอกชน แต่ได้ค่าตอบแทนประมาณ 2-4 แสนบาทต่อเดือน และไม่ต้องกังวลว่าจะเผชิญกับปัญหาการตกเบิกหลายเดือน จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักว่าทำไมแพทย์ส่วนใหญ่ถึงยอมโดนปรับแล้วลาออกจากระบบกันมากขนาดนี้ 

 

ในแง่การประจำในคลินิกเสริมความงาม แพทย์จบใหม่อาจเข้าฝึกอบรมระยะสั้น แล้วปฏิบัติงานในคลินิกได้เลย เพราะกลุ่มงานหัตถการอย่างการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ไม่จำเป็นต้องใช้แพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งในประเทศไทยมีศัลยแพทย์ตกแต่งแค่ประมาณ 500 กว่าคน ย่อมไม่เพียงพอต่ออัตราการเติบโตของธุรกิจเสริมความงาม

 

เรื่องนี้ส่งผลระยะยาว เพราะด้วยแรงจูงใจทั้งเวลาการทำงานและค่าตอบแทน ส่งผลให้ปัจจุบันเราจะเห็นนักเรียนแพทย์หันไปเรียนเฉพาะทางด้านผิวหนังเพิ่มมากขึ้น ส่วนแพทย์ในสาขาอื่นๆ ก็ยังคงมีน้อยอยู่เหมือนเดิม

 

แต่ไม่ใช่ว่าคลินิกเสริมความงามทุกเจ้าจะได้แพทย์ไปอยู่กับตัวเองตามที่หวัง เพราะเมื่อตลาดคลินิกความงามเริ่มมีผู้เล่นเข้าสู่การแข่งขันมากขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการคือการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์เหมือนกัน เมื่อไปดูตัวเลขแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังที่ได้รับวุฒิบัตรจากแพทยสภาในปี 2555 พบว่ามีเพียง 514 คน และก็ไม่ได้มีอัตราการเพิ่มขึ้นที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จึงเกิดการแย่งชิงแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะกันในวงการคลินิกความงาม แข่งกันเกทับค่าตอบแทน ซึ่งเราคงไม่ต้องพูดถึงโรงพยาบาลรัฐที่ไม่ได้มีเงินซื้อตัวแพทย์ และไม่ได้อยู่ในสนามแข่งขันนี้ตั้งแต่แรก

 

ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ผู้รับเคราะห์คือประชาชน 

 

กระทรวงสาธารณสุขพยายามจะแก้ปัญหาแพทย์ขาดแคลนด้วยหลายวิธี หนึ่งในนั้นเห็นได้จากการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เสนอยุทธศาสตร์ภาพรวม 10 ปี เพื่อแก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน และทำให้นโยบายสำคัญของไทยอย่าง 30 บาทรักษาทุกที่ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น โดยวางแผนจะผลิตหมอเพิ่มราว 31,000 คน ซึ่งปัจจุบันมีแพทย์อยู่ 71,616 คน และวางแผนเพิ่มพยาบาล 124,558 คน หวังจะลดอัตราส่วนหมอต่อประชากรจาก 1:922 คน ลดลงเป็น 1:650 คน ส่วนมุมมองของแพทย์คนอื่นๆ อย่าง รศ.นพ.ฉันชาย มองว่าจะต้องลดการกระจุกตัวของแพทย์ให้เกิดการกระจายไปทั่วประเทศ 

 

เนื่องจากปัจจุบันการขาดแคลนแพทย์ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาทางการบริหารบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น แต่การกระจายตัวของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เหมาะสมระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ยังเป็นอุปสรรคหลักต่อการพัฒนาระบบสุขภาพพื้นฐานของประชากร

 

อย่างไรก็ตาม คุณหมอชลทิพย์มองว่าการเร่งผลิตแพทย์อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมด เพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าไทยมีตัวเลขแพทย์เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาขาดแคลนได้สักที และวงการสาธารณสุขอาจจะต้องเริ่มจากการยอมรับเสียก่อนว่าตอนนี้โครงสร้างและการจัดการของเราอาจกำลังมีปัญหามากกว่าที่คิด 

 

เธอเล่าถึงประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อยในช่วงหลังอย่างการให้สาธารณสุขออกจาก ก.พ. เพราะมุมมองของคนในวงการบางส่วนมองว่า ก.พ. ไม่เข้าใจบริบทหน้างานว่ามีความซับซ้อนและมีความหลากหลายของเจ้าหน้าที่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งสังคมมักจะเห็นว่าหมอออกมาเรียกร้องนั่นนี่บ่อยครั้ง แต่จริงๆ แล้วในโครงสร้างยังมีลูกจ้างที่ไม่มีสวัสดิการที่ดี ไม่มีแสงส่องถึง ไม่มีเสียงที่จะออกมาเรียกร้องอีกเป็นจำนวนมาก

 

แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ต้องประเมินให้รอบด้าน เพราะถ้าออกมาแล้วไม่สามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่จะเกิดกับคนทำงานจะเป็นอย่างไรต่อ ซึ่งเรื่องนี้สาธารณสุขจะต้องมีการพูดคุยกับทุกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา

 

พญ.ชลทิพย์: “คนที่อยู่บนยอดพิระมิดอย่างหมอก็ยังไม่ไหวแล้ว ที่เหลือจะเป็นอย่างไร คือหมอได้ทั้งศักดิ์ ทั้งสิทธิ์ ทั้งความก้าวหน้าและเงินเยอะที่สุดแล้วในระบบสาธารณสุข ยังเอาไม่อยู่เลย แต่ทีนี้ การออกก็ต้องออกอย่างระมัดระวัง เพราะเราก็มีพี่ที่เขาออกไปก่อนหน้าเราแล้วเราก็เห็นแล้วว่าเขาก็ไม่ได้สามารถดูแลกองเงินของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วผู้บริหารในกระทรวงจะดูแลอย่างดีใช่ไหม จะเพิ่มตำแหน่งพยาบาล ตัวเล็กตัวน้อยใช่ไหม หรือว่าจะเพิ่มพวกซีใหญ่ๆ ในกระทรวงฯ”

 

ขณะที่ปัญหาในระบบราชการยังแก้ไม่ได้ แพทย์ในระบบจำนวนมากอาจเกิดการตั้งคำถามว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เสมือนว่ารัฐหวังให้คนทำงานจะต้องเปี่ยมด้วยอุดมการณ์ จะต้องช่วยกันดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชนทั่วประเทศ ในขณะที่คุณภาพชีวิตของตัวเองยังทำให้ดีไม่ได้ 

 

พญ.ชลทิพย์: “สำนักข่าวทั้งหลายพยายามจะถามหมอคนนั้นคนนี้ว่าแก้ตรงไหนดี เอาตรง ๆ เรามันผู้ปฏิบัติ ไม่อาจเอื้อมหรอกที่จะบอกว่า ‘ทำตรงนี้สิ แล้วเดี๋ยวดีเลย’ บางทีเราก็อาจจะมองได้แค่จำกัดในมุมมองของเรา ก่อนอื่นคือยอมรับความจริงก่อน เพราะว่าถ้าเกิดว่าที่เห็นอยู่ตอนนี้คือยังไม่ยอมรับความจริงด้วยซ้ำ ถ้าเกิดว่าเห็นจากแบบสภาพที่ออกออกมาจริงไหม 29:54 แต่หลังจากยอมรับความจริงแล้ว จะเห็นว่าความเป็นไปได้ในการแก้ไขมันเยอะ เพียงแต่ว่ามันก็ต้องลองเลือกที่จะทำมาดูว่ามันเวิร์คหรือไม่เวิร์ค เหมาะหรือไม่เหมาะ มันไม่ได้หมายความว่ามันมี One Best Solution ที่ทำตามแล้วมันมีทางออกเลย มันก็คงต้องเลือก”

 

พญ.ชลทิพย์: “System Thinking แบบที่อาจารย์บวรศมเคยพูดว่าบางทีมันต้องคลี่ออกมาให้หมดเลย ว่าจุดที่เป็นปัญหาอยู่มีอะไรบ้าง แล้วก็ต้องยอมรับว่ามันมีอยู่จริง เสร็จแล้วทีนี้ก็อาจจะต้องมาใช้กระบวนการศึกษา แต่ทางฝั่งรัฐเองก็ไม่ปรับตัวอะไรเลย แล้วก็เป็นเหมือนกับประมาณว่า take it for granted กับความเสียสละของบุคลากร ผลต่างของตรงนี้กับเอกชนมันต่างกันมากๆ แล้วมันจะทำเพื่ออะไร มันต้องเป็นคนที่มีอุดมการณ์มากๆ แต่ทีนี้ก็คือเหมือนกับว่าบางครั้ง ทำไมเราถึงเอาชีวิต แล้วก็เอาระบบไปคาดหวังกับอุดมการณ์ของคน”

 

คุณหมอชลทิพย์มองว่าปัญหาที่วงการสาธารณสุขกำลังเผชิญอยู่ ไม่ได้ส่งผลเสียแค่กับแพทย์พยาบาลเท่านั้น แต่ปลายทางของปัญหาที่เกิดขึ้นกลับไปตกอยู่กับประชาชน โดยเฉพาะกับกลุ่มคนเปราะบาง คนจนเมือง คนในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ

 

พญ.ชลทิพย์: “คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนเปราะบางในสังคม เพราะว่าอย่างพวกข้าราชการอยากจะไปตรวจที่ไหนก็ไปตรวจได้ใช่ไหม แล้วยิ่งถ้าเกิดว่าเป็นหมอด้วยแล้ว เราอยู่ในวงการเรารู้อยู่แล้วว่าอาจารย์คนไหนเก่งเรื่องไหนที่สุด ตัวเราเองหรือว่าญาติพี่น้องเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็หาทางตรงนั้นทางนี้ได้อยู่แล้ว แต่ในขณะที่กลุ่มคนแบบชายขอบที่สุดในสังคม กลุ่มคนไข้ที่เขาเลือกไม่ได้ เงินซื้อประกันก็ไม่มี จะไปเอกชนหรือจะไปที่อื่นก็ไม่ได้ ไม่ใช่ข้าราชการที่อยากจะเลือกโรงพยาบาล โรงเรียนแพทย์ หรือว่าโรงพยาบาลใหญ่ที่ไหนก็ได้ เขาก็ต้องอยู่ตามเลขที่บัตรเขาอยู่”

 

ด้วยสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นมานานหลายสิบปี ทำให้บางคนมองว่าจะมีอะไรที่ทำให้แย่ไปกว่านี้อีกหรือไม่ หรืออีกไม่นานระบบสาธารณสุขไทยเสี่ยงจะล้มในสักวันหนึ่งหรือเปล่า 

 

แต่ท่ามกลางวิกฤตศรัทธา ก็ยังคงมีแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่อีกไม่น้อยที่ยังคงมีความหวังว่าปัญหาเรื้อรังจะทุเลาลงได้ ปัญหาเชิงโครงสร้างจะถูกแก้ไข เพื่อที่หมอจะได้มีแรงกายและแรงใจ ไปดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising