ผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่สามของ Intel (INTC) ได้ช่วยพยุงราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องได้เพียงชั่วครู่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์จาก Wall Street หลายรายยังคงมองว่าธุรกิจรับจ้างผลิตชิปซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่และยังห่างไกลจากคำว่าฟื้นตัว
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการชิป ซึ่งมี CPU เป็นส่วนประกอบสำคัญในศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ได้รายงานผลประกอบการและรายได้ในไตรมาสล่าสุดสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สถานะทางการเงินของบริษัทดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากได้รับเงินทุนสนับสนุนก้อนใหญ่จากการลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ, SoftBank และแม้กระทั่งคู่แข่งอย่าง Nvidia
ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 8% ในช่วงก่อนเปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (24 ต.ค.) ก่อนที่จะลดช่วงบวกลงหลังจากตลาดเปิดทำการ ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนยังคงไม่มั่นใจในระยะยาว สเตซี ราสกอน (Stacy Rasgon) นักวิเคราะห์จาก Bernstein กล่าวว่า “เราเข้าใจดีว่าหลายคนอยากจะประกาศชัยชนะให้กับบริษัทที่เผชิญมรสุมมานาน แต่ศึกครั้งนี้ยังห่างไกลจากคำว่าจบสิ้น”
สาเหตุหลักของความกังวลอยู่ที่ธุรกิจรับจ้างผลิตชิป หรือ Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งยังคงประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก แม้ผลขาดทุนในไตรมาสล่าสุดจะลดลงเหลือ 2.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.53 หมื่นล้านบาท) จากรายได้ 4.2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.37 แสนล้านบาท) ซึ่งดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท)
แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลขาดทุนของ IFS จะกลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8.17 หมื่นล้านบาท) ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่รายได้อาจลดลงเหลือ 4.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.34 แสนล้านบาท) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ยังคงเปราะบาง ปัญหาสำคัญคือการดึงดูดลูกค้าภายนอกให้เข้ามาใช้บริการได้อย่างเป็นรูปธรรม
ราสกอนคำนวณว่ารายได้จากลูกค้าภายนอกในไตรมาสล่าสุดนั้นมีเพียง 8 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 261.5 ล้านบาท) เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ ปัญหานี้ชัดเจนขึ้นเมื่อ Intel ยอมรับว่ากระบวนการผลิตล่าสุดที่เรียกว่า ‘18A’ จะถูกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ภายในเป็นหลัก หลังจากที่ไม่สามารถดึงดูดลูกค้ารายใหญ่อย่าง Nvidia หรือ Broadcom ได้
ความหวังจึงถูกฝากไว้กับกระบวนการผลิตยุคถัดไปที่เรียกว่า ‘14A’ ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จของธุรกิจ IFS ในอนาคต แต่ ลิป-บู ตัน (Lip-Bu Tan) ซีอีโอคนใหม่ ก็ได้ย้ำจุดยืนที่ระมัดระวัง โดยกล่าวว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต 14A ก็ต่อเมื่อเห็นความต้องการที่ชัดเจนจากลูกค้าแล้วเท่านั้น
ตันได้กล่าวในการแถลงผลประกอบการว่าบริษัทกำลัง “พูดคุยกับลูกค้าภายนอกที่มีศักยภาพ” ซึ่งแม้จะรู้สึกมีกำลังใจจากผลตอบรับเบื้องต้น แต่ราสกอนก็ยังคงมองว่า “เส้นทางสู่ 14A ยังคงอีกยาวไกลมาก” สะท้อนถึงความท้าทายทางเทคโนโลยีที่ Intel ยังต้องเผชิญ
ความยากลำบากในธุรกิจผลิตชิปยังเกิดขึ้นพร้อมกับการที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์หลักของ Intel กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งอย่าง AMD ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยทั้งสองด้านนี้ล้วนเป็น ‘ความเสี่ยง’ ต่อราคาหุ้นในระยะยาว รอสส์ เซย์มอร์ (Ross Seymore) นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank กล่าวว่า แม้ระยะสั้นราคาหุ้นอาจถูกขับเคลื่อนด้วยข่าวดีต่างๆ
แต่ “เราเชื่อว่าเมื่อตลาดกลับมาให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐาน ราคาหุ้นก็น่าจะเผชิญกับแรงกดดันอีกครั้ง” ซึ่งเขาย้ำมุมมองนี้กับลูกค้าเมื่อวันศุกร์ (24 ต.ค.) ที่ผ่านมา
Intel พยายามชูประเด็นว่าธุรกิจ IFS มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในสหรัฐฯ เนื่องจากผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง TSMC นั้นตั้งอยู่ในไต้หวัน ข้อโต้แย้งนี้ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งได้เข้าถือหุ้นใน Intel ถึง 9.9% เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนกลับมองต่างออกไป โดยชี้ว่าการที่ TSMC ได้ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลถึง 1.65 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.4 แสนล้านบาท) เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐฯ นั้น ได้ช่วยลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานไปได้มากแล้ว และทำให้ข้ออ้างของ Intel ดูมีน้ำหนักน้อยลง
คริส แดนลี (Chris Danely) นักวิเคราะห์จาก Citi กล่าวว่า “เราเชื่อว่านักลงทุนคิดว่าธุรกิจรับจ้างผลิตของ Intel จะสามารถทำกำไรได้ แต่เราไม่คิดเช่นนั้น เพราะเราเชื่อว่าโรงงานของ Intel ยังตามหลัง TSMC อยู่หลายปี” โดยเขายังคงเชื่อว่า Intel ควรจะขายธุรกิจในส่วนนี้ทิ้งไป
ภายใต้การนำของซีอีโอคนก่อน แพท เกลซิงเกอร์ (Pat Gelsinger) ทาง Intel ได้วางแผนการอันทะเยอทะยานที่จะไล่ตาม TSMC ให้ทัน แต่แผนดังกล่าวกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้ ลิป-บู ตัน ต้องเข้ามาปรับเปลี่ยนทิศทางและใช้แนวทางที่ระมัดระวังมากขึ้น
ในการแถลงผลประกอบการล่าสุด ผู้บริหารของ Intel ก็ได้ยอมรับว่า อัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง (Yields) ของกระบวนการ 18A นั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร เดวิด ซินส์เนอร์ (David Zinsner) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกล่าวว่า แม้ผลผลิตจะอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แต่ก็ “ยังไม่ถึงจุดที่เราต้องการเพื่อให้ได้อัตรากำไรที่เหมาะสม”
ซินส์เนอร์ยังเปิดเผยอีกว่ากระบวนการผลิต 18A จะยังไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตสูงสุดจนกว่าจะถึง ‘ช่วงปลายทศวรรษนี้’ ซึ่งยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์เข้าไปอีก
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังตั้งคำถามถึงระดับความต้องการของตลาดสำหรับชิปรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี 18A อย่าง Panther Lake และ Clearwater Forest ที่กำลังจะเปิดตัวด้วย โดยกังวลว่าการนำไปใช้งานอาจล่าช้า, ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ และเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่ง
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.69 บาท ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2568
ภาพ: Anastasiya_Rav / Shutterstock
อ้างอิง:


