ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ภาษีสหรัฐฯ’ ในปีนี้ นับเป็นบททดสอบครั้งประวัติศาสตร์ ที่ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างรอยร้าวเชิงยุทธศาสตร์ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาคมอาเซียน
ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องไม่เพียงคำนึงถึง ‘สัญชาตญาณการเอาตัวรอด’ ที่รังแต่จะฉุดรั้งความเป็นเอกภาพของประชาคม โดยอาเซียนจำเป็นต้องฟื้นฟูความเป็นปึกแผ่น เพื่อคงไว้ซึ่งการส่งเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาคอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกัน การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ ยังถูกจับตาในฐานะ ‘บททดสอบสำคัญ’ ว่า อาเซียนจะรักษาสมดุลในการปฏิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีนและสหรัฐฯ อย่างไร
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ดุลอำนาจในเวทีโลกไร้เสถียรภาพ ก้าวต่อไปของอาเซียนจะมีนัยสำคัญในการกำหนดแนวทางและอนาคตของภูมิภาคอย่างเลี่ยงไม่ได้
การเจรจาที่ไร้เอกภาพ
แม้อาเซียนจะยึดมั่นใน ‘หลักฉันทามติ’ (consensus-driven approach) โดยทฤษฎี แต่การที่มาตรการภาษีตอบโต้ และการชะลอการบังคับใช้หลากหลายครั้ง ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการค้าอันเฉียบคมของสหรัฐฯ ที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนจากการไม่สามารถคาดเดารูปการณ์ได้ ส่งผลให้ประเทศสมาชิกเร่งรุดเจรจาเพื่อทำข้อตกลงทวิภาคี (bilateral deals) โดยมุ่งเน้นปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน
ซึ่งการคำนึงถึงเพียง ‘สัญชาตญาณการเอาตัวรอด’ ของบรรดาประเทศสมาชิก สะท้อนให้เห็นถึงจุดเปราะบางของอาเซียนอย่างชัดเจน นั่นคือ ความร่วมมือระหว่างสมาชิกสามารถถูกบั่นทอนลงได้อย่างง่ายดาย ทำให้การใช้ความเป็นเอกภาพของอาเซียนเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับสหรัฐฯ ถูกละเลยโดยสิ้นเชิง
นี่เป็นวิกฤตสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นปึกแผ่นของประชาคมอาเซียน
ซึ่งคำถามก็คือ ทำอย่างไร อาเซียนจึงจะสามารถก้าวข้ามความระส่ำระสาย เพื่อรวมพลังเป็นหนึ่ง และยกระดับความได้เปรียบของทั้งภูมิภาคในการเจรจาต่อรองในเวทีโลก?
การปฏิรูปโครงสร้างทางการเงินเพื่อเผชิญระเบียบโลกใหม่
กระแสข่าวเกี่ยวกับ ‘ยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ’ (de-dollarization) ได้ถูกนำเสนออย่างกว้างขวางในปีนี้ หากแต่ในความเป็นจริง นโยบายเหล่านี้ยังคงเป็นเพียงการทดลองใช้อย่างจำกัด
แม้จะมีตัวอย่าง เช่น การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างอินเดียและรัสเซีย แต่ในทางปฏิบัติ กลไกเช่นนั้นกลับเป็นเพียง ‘มาตรการจำเป็น’ (crisis-driven measures) มากกว่าความตั้งใจที่จะปฏิรูปโครงสร้างทางการเงินระหว่างประเทศอย่างแท้จริง
ในปัจจุบัน สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงครองสัดส่วนกว่า 58% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลก ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังคงมี ‘ไพ่เด็ด’ อย่างความสามารถในการคว่ำบาตรทางการเงิน หรือการตัดสิทธิ์จากระบบ SWIFT ซึ่งช่วยต่ออายุอำนาจของดอลลาร์เหนือสกุลเงินคู่แข่งอื่นๆ
สำหรับอาเซียน ท่ามกลางรูปแบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออก (export-oriented economies) ของประเทศสมาชิก การต้องเผชิญทั้งแนวโน้ม ‘ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ’ ของสหรัฐฯ และความพยายาม ‘de-dollarize’ ของกลุ่ม BRICS ทำให้เส้นทางข้างหน้าของอาเซียนจำต้องมุ่งปกป้องผลประโยชน์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านการเสริมสร้างระบบการเงินระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
แม้อาเซียนจะยังไม่สามารถทุ่มทรัพยากรเพื่อส่งเสริมการใช้สกุลเงินของประเทศสมาชิกในเวทีโลก แต่อาเซียนสามารถวางกลยุทธ์และปฏิบัติตามหลักความเป็นจริง (pragmatism) ผ่านการต่อยอด ‘โครงการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระดับภูมิภาค’ (Regional Payment Connectivity: RPC) เช่นการยกระดับระบบการเงินดิจิทัลอย่าง พร้อมเพย์ (PromptPay) เพื่อส่งเสริมการบูรณาการให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบดิจิทัลอื่นๆ ภายในอาเซียนยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการสร้างโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้นภายในภูมิภาค
บทบาทอาเซียนในเวทีโลก
ท่ามกลางดุลอำนาจที่ผันแปร อาเซียนยังสามารถรักษาเอกภาพผ่านการยืนหยัดในหลักการ ‘พหุภาคีนิยมแบบยืดหยุ่น’ (flexible multilateralism)
เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ประเทศสมาชิกอาเซียนจำต้องก้าวข้ามรูปแบบการเจรจาแบบทวิภาคี ไปสู่การสนทนาและหารือเชิงพหุภาคี (multilateral dialogues) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผ่านการยกระดับความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement: ATIGA) และข้อตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว
นอกจากนี้ อาเซียนสามารถผลักดันบทบาทของตนในเวทีโลก ผ่านการส่งเสริมบทสนทนาแบบพหุภาคีกับนานาประเทศ อย่างที่เคยปรากฎในการประชุมระหว่างอาเซียนและรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) ที่ผ่านมา รวมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่จะถึง ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการวางยุทธศาสตร์ ผ่านการสานสัมพันธ์กับทั้งผู้นำจีนและสหรัฐฯ
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
ประชาคมอาเซียนต้องยอมรับว่าไม่อาจบรรลุ ‘อิสรภาพเชิงยุทธศาสตร์’ (strategic autonomy) หากยังขาดความสมานฉันท์ระหว่างประเทศสมาชิกในการเจรจากับประเทศมหาอำนาจ ฉะนั้น กรอบความคิดทางการทูตจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อบูรณาการการปฏิบัติ ให้อาเซียนสามารถสร้างความได้เปรียบในการต่อรองในเวทีโลก
การพลิกวิกฤติครั้งนี้ จำต้องใช้การปฏิรูป ‘กลไกเชิงสถาบัน’ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและดำเนินการเจรจาอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมทั้งกำหนดมาตรการในการยับยั้งการดำเนินการฝ่ายเดียว (unilateral approach) ที่อาจบั่นทอนผลประโยชน์โดยรวมของภูมิภาค
สงครามภาษีในปีนี้ได้แสดงให้เห็นทั้ง ‘จุดเปราะบาง’ และ ‘ศักยภาพแฝง’ ของอาเซียนโดยประจักษ์ ดังนั้น การรับมือกับความไม่แน่นอนเชิงภูมิรัฐศาสตร์ จึงต้องใช้ ‘การบูรณาการเชิงเปลี่ยนผ่าน’ (transformational integration) เป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประชาคมอาเซียนไปสู่โครงสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
เกมการเดิมพันครั้งนี้สูงอย่างที่ไม่ปรากฏมาก่อน แต่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ที่ประชาคมอาเซียนโดยรวมมีทั้ง ‘ฐานเศรษฐกิจศักยภาพสูง’ และยังเผชิญ ‘แรงกดดันจากภายนอก’ ที่สามารถผลักดันให้ประเทศสมาชิกร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น ก้าวต่อไปในระยะสั้นจึงจะเป็นตัวตัดสิน ว่าประชาคมอาเซียนจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้หรือไม่
ภาพ: ณัฏฐา โกมลวาทิน / THE STANDARD


