เมื่อพูดถึง ‘Gen Z’ หลายคนคงมีมุมมองต่อคนรุ่นใหม่ที่แตกต่างกันไป ทั้งแง่ดี และแง่ลบ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่พบเจอ
แต่ถ้าเราซาวด์เสียงในโซเชียลมีเดีย หลายครั้ง ที่สื่อมักนำเสนอเรื่องคน ‘Gen Z’ ในแง่ลบ ส่งผลให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นแบบลบๆ เพื่อระบายความในใจซึ่งมีทั้งเรื่องจริง และเรื่องเกินจริงปะปนกันไป
ประเด็นที่ถูกวิพากษ์ วิจารณ์บ่อย คงหนีไม่พ้นเรื่องนิสัยการใช้เงิน ที่คนรุ่นก่อนมักมีภาพจำว่า เด็กรุ่นใหม่เป็นพวกวัตถุนิยม อยากมีตัวตนในสังคม ผลักดันให้เป็นคนหาเงินเก่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้เงินเก่งไม่แพ้กัน
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามต่อไปคือ ภาพจำของสังคมที่ตีตรา ‘Gen Z สะท้อนแนวคิด การใช้ชีวิตจริงๆ ของพวกเขาแค่ไหน หรือเป็นแค่การหยิบคาแรคเตอร์ บางแง่มุมที่คนรุ่นก่อนยังไม่คุ้นชิน มาตัดสินและเหมารวมคนรุ่นใหม่
รายงานล่าสุดของ EY Global ที่ทำการศึกษาแนวคิดนิยามความสำเร็จในชีวิตที่เปลี่ยนไปของกลุ่มคน Gen Z ทั่วโลก อาจทำให้ทุกคนเข้าใจและเห็นภาพมุมมองของคน Gen Z ที่มีต่อ ‘เงิน’ ชัดขึ้น แบบไม่อคติ
จากการศึกษา กลุ่มคน Gen Z อายุระหว่าง 18-34 ปี ใน 10 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล เยอรมนี สวีเดน ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ อินเดีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น พบว่า เมื่อถามถึงอนาคต คนรุ่นใหม่กังวลเรื่อง ‘เงิน’ มากที่สุด
แม้จะให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และความสัมพันธ์มาเป็นอันดับแรก แต่ก็หมกมุ่นกับการหาเงินเพื่ออนาคตไม่แพ้กัน จึงไม่แปลกที่คนรุ่นใหม่มีแนวคิดร่วมกัน คือ มองว่า ‘เงิน‘ ไม่ใช่ตัวชี้วัด ’ความสำเร็จ‘ ทั้งชีวิต แต่คือ ‘ตัวช่วย’ ที่ทำให้ชีวิตมีอิสรภาพมากขึ้น
โดยเป้าหมายของการมีเงินเปลี่ยนไป จากที่อยากมีเงินเยอะๆ เพื่อแสดงฐานะว่า ‘รวย’ กลายเป็นแค่มีเงินให้เพียงพอที่จะใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ และมีเงินสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในอนาคตเท่านั้น สะท้อนจากตัวเลขผลสำรวจ
‘87% ของคน Gen Z ให้ความสำคัญกับการมีอิสรภาพการเงิน’
เมื่อเจาะดูรายประเทศ พบว่า กลุ่มคน Gen Z มีสัดส่วนที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการมีอิสรภาพการเงิน มากกว่าความร่ำรวย
Gen Z อยากมีเงินไปเยอะๆ ไปทำไม
ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้พวกเขากังวลกับการหาเงินจนหมกมุ่น กลายเป็นความเครียด สะสมโดยไม่รู้ตัวนั้น มีที่มา ไม่ใช่เพราะอาการนอยจากความอยากได้อยากมี แต่เป็นเพราะ Gen Z เติบโตมาพร้อมกับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารรอบด้าน และได้สัมผัสกับวิกฤต โรคระบาดโควิด-19 ตอนที่หลายๆ คน ยังเรียนไม่จบ ทำให้พวกเขาเข้าใจ โลกความเป็นจริงที่ไม่มีอะไรแน่นอน ถูกเร่งให้โตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว
สองความฝัน ‘รอด VS รวย’ เมื่อเศรษฐกิจกำหนดเพดานความมั่งคั่งในชีวิต
แม้ว่า ‘ความมั่นคง’ จะเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ แต่ ‘ความฝันที่จะรวย’ กลับมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ โดยสามารถแบ่งคนได้เป็น 2 กลุ่ม
- กลุ่มมีความหวังฝันใหญ่ (กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา)
เช่น ประเทศ อินเดีย, จีน, ซาอุดีอาระเบีย, และแอฟริกาใต้ คน Gen Z เหล่านี้ยังเต็มไปด้วย ‘ความหวัง’ เห็นโอกาสมีชีวิตที่ดีกว่ารุ่นพ่อแม่ เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จากการขยายตัวของประชากร และการลงทุนจากต่างชาติ จะเห็นได้จากเปอร์เซ็นต์คนที่ ‘อยากรวย’ ที่สูงลิ่ว เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
- กลุ่มฝันเล็กเน้นความอยู่รอด (กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว)
ในทางกลับกัน ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, และเกาหลีใต้ เศรษฐกิจโตช้าลง เนื่องจากผ่านช่วงยุคทองไปแล้ว ส่งผลให้ Gen Z ในประเทศเหล่านี้ ต้องเผชิญหน้า กับปัญหาค่าครองชีพ ราคาที่อยู่อาศัยที่แพงหูฉี่ และโอกาสสร้างตัวที่น้อยลง แบบแผนความสำเร็จในยุคพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นเจ้าของบ้าน และรถ กลายเป็น ‘ความฝัน’ ที่ไกลเกินเอื้อม ความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมา กลับโดนความจริงตบหน้าซ้ำๆ เพราะการซื้อบ้านในเมืองใหญ่ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าพ่อแม่ไม่ได้รวยอยู่แล้ว หลายคนจึงเลือกโฟกัสใช้ชีวิตให้มีความสุขกับปัจจุบัน มากกว่าพยายามถีบตัวเอง ไล่ตามบรรทัดฐานสังคม ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
Gen Z วิ่งหาความมั่นคง มากกว่าความมั่งคั่ง
การที่ Gen Z หมดหวังในการไล่ตามตัวชี้วัดความสำเร็จเดิมๆ (อย่างการซื้อบ้าน) ไม่ใช่เพราะพวกเขาขี้เกียจหรือต่อต้านสังคม แต่เป็นเพราะพวกเขาคำนวณแล้วว่า ไม่คุ้มค่าที่จะทำ
สัญญาณที่ชัดที่สุดคือเทรนด์การ ‘วิ่งหาเซฟโซน’
คนรุ่นใหม่หันมาทำงานราชการ เพื่อความมั่นคง มากกว่ายอมแลกสุขภาพจิต แข่งกันเติบโตในบริษัทเอกชน จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ Gen Z ในจีน กลับไปสอบเข้า ‘งานราชการ’ กันแบบถล่มทลาย หลังเจอคลื่นเลย์ออฟครั้งใหญ่ครั้งแรกในชีวิต (หลังโควิด) โดยมองว่าถึงงานราชการไม่ทำให้รวย แต่ก็ไม่ทำให้อดตาย แม้แต่ในอินเดีย ที่เศรษฐกิจกำลังพุ่งแรง ‘ความมั่นคง’ ก็ยังเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่โหยหาที่สุด
ภาพ: Arthit_Longwilai / Getty Images
อ้างอิง: