- แนวความคิด Drone Mothership ของเรือผิวน้ำ
ตามปกติแล้ว การวิเคราะห์หรือศึกษาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศจะเป็นไปตามมิติของการปฏิบัติการ (operational domain) ที่ใช้งานในสนามรบ เช่น ยานรบทางบก/ เรือ/อากาศ (Land, Sea, Air Platforms) และแตกแขนงออกมาเป็นระบบย่อยที่สนับสนุน เช่น C4ISR, AI, Cybersecurity และระบบอาวุธ และอื่นๆ แนวทางเช่นนี้สะท้อนความเป็น “ตำรา” หรือ “คู่มือราชการสนาม” หรือ “อัตราการจัดทางการยุทธ์” (อจย.) ที่วางอยู่บนฐานคิดแบบเดิม
โดยจากบทความ[1] ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้เกริ่นกล่าวถึงแนวคิด Drone Mothership ในฐานะก้าวต่อไปของกองทัพเรือยุคศตวรรษที่ 21 ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนจากการมองเรือผิวน้ำในฐานะสัญลักษณ์แห่งอำนาจกำลังรบทางเรือ ไปสู่การมองเรือในบทบาทของฐานปฏิบัติการสำหรับรองรับและบูรณาการระบบไร้คนขับในทุกมิติ ทั้งทางอากาศ ผิวน้ำ และใต้น้ำ[2][3] ซึ่งเหมาะกับภารกิจทางทะเลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจการณ์ การลาดตระเวน การข่าวกรอง การสำรวจ การกวาดทุ่นระเบิด การต่อต้านเรือดำน้ำ การโจมตี และการคุ้มกันโดยมีระดับการทำงานร่วมกับกำลังพลประจำเรือที่หลากหลายด้วย
แนวคิดของ Drone Mothership ไม่ได้เป็นเพียงการดัดแปลงแพลตฟอร์มเรือธรรมดาให้รองรับระบบไร้คนขับเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์เรือรบยุคใหม่ โดยเฉพาะในการเติมเต็มช่องว่างของปฏิบัติการในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง
บทความตอนนี้จึงขอเจาะลึกเฉพาะประเด็น Mothership โดยตรง ซึ่งนับเป็นแนวคิดใหม่ที่ไม่ค่อยมีสื่อหรือวงการวิชาการศึกษากล่าวถึงมากเท่าใดนักในปัจจุบัน แนวคิดเรื่อง Drone Mothership ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่สามารถจัดวางได้ลงตัวในกรอบเดิมเหล่านี้ เพราะคือการเปลี่ยนจากการที่เรือผิวน้ำที่ปกติจะบรรทุกติดตั้งระบบอาวุธมายิงทำลายเป้าหมายในทะเลหรือบนบก มาเป็นฐานบรรทุกยานไร้คนขับ (Unmanned Systems) ที่จะทำภารกิจได้หลากหลายมากกว่าเดิมตามขีดความสามารถของยานไร้คนขับนั้นๆ
บทความนี้ พยายามชี้ให้เห็นว่าประเทศต่างๆ เริ่มมีการใช้งานเรือผิวน้ำเพื่อวัตถุประสงค์ที่เปลี่ยนไป มีแนวโน้มการใช้โดรนที่มากกว่าเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพการรบ การลาดตระเวน และการปฏิบัติการทางทะเล โดยลดความเสี่ยงต่อกำลังพล ประหยัดงบประมาณ และเพิ่มความคุ้มค่าทางยุทธศาสตร์
- ตัวอย่างเชิงประจักษ์ของการเริ่มนำแนวความคิด Drone Mothership มาใช้งาน
เรือผิวน้ำตามปกติแล้ว จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ประกอบไปด้วยตัวเรือ ที่บรรทุกระบบอำนวยการยิง ระบบอาวุธ ระบบการดำรงชีพ เครื่องจักรใหญ่ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีราคาสูง และต้องมีมาตรฐานทางทหาร (Military Standard) ทั้งสิ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรือมีราคาต้นทุนที่สูงมาก และยังรวมไปถึงความเป็นวัสดุสิ้นเปลืองด้วย โดยเฉพาะเรื่องระบบอาวุธ กระสุนและอาวุธนำวิถี (ที่ใช้แล้วหมดไป)
สมมติเราพิจารณาจัดหาอาวุธนำวิถี 1 ลูก เพื่อทำลายเป้าหมาย 1 เป้าหมาย อาจมีราคาสูงถึง 100-150 ล้านบาท คำถามคือว่า ภายใต้เงินงบประมาณกว่า 150 ล้านบาท ถ้าแปรสภาพมาเป็นยานไร้คนขับติดอาวุธทั้ง 3 มิติ ทั้งในอากาศ ผิวน้ำ และใต้น้ำ แม้จะไม่ตอบสนองด้วยอำนาจการทำลายล้างและระยะยิงแบบเดียวกับอาวุธนำวิถี แต่ก็จะได้ platform อีกหลายลำ ยิงอาวุธสร้างอำนาจการทำลายล้างอีกหลายเป้าหมาย มีความอเนกประสงค์มากขึ้นกว่าการทำลายเป้าหมายทางทะเล เช่น ยืดระยะยิงไปทำลายเป้าหมายบนฝั่งที่มีความลึกทางพื้นที่มากขึ้น ทำการลาดตระเวนรวบรวมข่าวสาร ขนส่งเสบียงหรือยารักษาโรค กู้ภัย และการปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรมอื่นๆ อีกมากมาย) นี่ถือว่าเป็นแนวคิดเชิงการวิเคราะห์ความคุ้มค่า (Cost-Benefit Analysis- CBA) หรือ เศรษฐศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ (Defence Economics) ที่นักการทหารยุคใหม่อาจจะต้องพิจารณาด้วย
จากการสำรวจเอกสารวิชาการ และข่าวสารจากแหล่งเปิดในห้วงที่ผ่านมา พบว่า มีความพยายามติดตั้งโดรนหลากหลายรูปแบบและวิธีการลงในเรือผิวน้ำด้วยวิธีการที่ต่างๆ กัน ทั้งแบบที่ดัดแปลงมาจากเรือบรรทุกเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ เรือสินค้า หรือการออกแบบมาเป็นเรือบรรทุกโดรนโดยเฉพาะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- สิ่งที่ต้องเตรียมการบนเรือผิวน้ำและคุณลักษณะเฉพาะของ Drone
การเตรียมการให้เรือผิวน้ำเป็นเรือแม่สำหรับระบบยานไร้คนขับนั้น อาจมีข้อพิจารณาตามภาพดังต่อไปนี้
จากตัวอย่างในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่า มีความเป็นไปได้ 2 แนวทาง ได้แก่
- การปรับปรุงขีดความสามารถจากเรือที่มีอยู่แล้ว (หนทางนี้เป็นไปได้มากกว่า)
หากกองทัพเรือต้องการริเริ่มโครงการ Mothership จากเรือที่มีอยู่แล้ว โดยไม่ต่อเรือใหม่ เช่นเดียวกับที่ประเทศตุรกี อิหร่าน และอินโดนีเซียดำเนินการนั้น เรื่องสำคัญที่สุดคือ การพิจารณาแสวงหาข้อตกลงใจว่า จะเลือกเรือแม่ก่อน แล้วค่อยหา unmanned systems ที่เข้ากันได้ทีหลัง หรือจะเลือก unmanned systems ที่จะใช้ในภารกิจก่อน แล้วเลือกว่าจะติดตั้งลงเรือแม่ลำใดที่มีอยู่ในกองทัพเรือ
ปัจจัยเหล่านี้ต้องพิจารณาถึงภารกิจ พื้นที่ปฏิบัติการ ภัยคุกคามของกองทัพเรือแต่ละภูมิภาค (ทะเลลึก-ตื้น/ช่องแคบ/แนวชายฝั่ง) และคาดการณ์ภัยคุกคาม รวมถึงภารกิจในอนาคต (swarm drone, cyber warfare, USV, UUV, UAV ติดระเบิด) ให้ได้ว่าจะเอาสิ่งใดไปแก้ไขปัญหาใด จากนั้นจึงจับคู่ความต้องการทางยุทธการกับข้อเท็จจริงด้านโครงสร้างของตัวเรือว่ามีความเข้ากันได้หรือไม่ (ดาดฟ้า ลิฟต์ เครน ทางลาด Hangar ไฟ/ชาร์จ/เชื้อเพลิง) โดยพิจารณารวมถึงความพร้อมระบบควบคุมบังคับบัญชาและระบบสื่อสาร
สิ่งนี้อาจจะเป็นปัญหา “ไก่กับไข่” ว่าผู้วางแผนและเสนอความต้องการจะเลือกสิ่งใดก่อน อย่างไรก็ตาม เรือรบที่สามารถรองรับอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ได้ น่าจะเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่และมีความอเนกประสงค์ อาทิ เรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือฟริเกตหลักของกองทัพเรือ เช่น เรือหลวงภูมิพล เรือหลวงนเรศวร และเรือหลวงตากสิน หรือเรือยกพลขนาดใหญ่ เช่น เรือหลวงช้าง และเรือหลวงอ่างทอง
- การต่อเรือใหม่รองรับระบบไร้คนขับตั้งแต่แรก (หนทางนี้เป็นไปได้น้อยกว่า)
การต่อเรือใหม่แบบเดียวกับจีน จะมีข้อได้เปรียบคือ สามารถออกแบบการใช้โครงสร้างตัวเรือ เพื่อรองรับระบบไร้คนขับได้ตั้งแต่แรก กำหนดโครงสร้างรองรับน้ำหนัก กำลังยกของลิฟต์และเครน วางสถาปัตยกรรมไฟฟ้าในเรือ แบตเตอรี่และน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไร้คนขับได้ มีห้องควบคุมตั้งแต่แรก เลือกวัสดุและสีเคลือบที่เหมาะสม ระบบช่องทางเดิน ประตูผนึกน้ำ รวมทั้งพื้นที่ซ่อมบำรุงและกำลังพลประจำเรือที่มีอัตรามูลฐานมาพร้อมกับเรือได้ ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ในโลกความเป็นจริงยังมีตัวอย่างให้เห็นอย่างจำกัดมาก แม้แต่เรือ UXV Combatant ของบริษัท BAE Systems ยังเป็นเพียงต้นแบบแนวคิด (conceptual UAV drone carrier) เท่านั้น[8]
อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือ สัดส่วนของอุปกรณ์แบบดั้งเดิม (ปืนเรือ อาวุธนำวิถี) และอุปกรณ์ไร้คนขับ (UAV, UUV, USV) ที่อุปกรณ์ไร้คนขับจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น จุดสมดุลที่เหมาะสมจะอยู่ที่ใด? สิ่งนี้อาจจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะไม่ได้หมายความว่า unmanned capability จะทดแทนได้ทั้งหมดทุกวงจรหรือทุกภารกิจของการปฏิบัติการทางทะเล หนทางที่เหมาะสมควรจะเป็นบทบาทที่อุปกรณ์ไร้คนขับจะเป็นส่วนเติมเต็ม (complementary role) ที่สามารถสลับภารกิจได้ตามพื้นที่และภัยคุกคาม โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือให้ไปทำงานที่เสี่ยง ไกล และใช้เวลานาน แทนการเสี่ยงกำลังพลและเรือราคาแพง ลดต้นทุนต่อชั่วโมงปฏิบัติการ อีกทั้งควรพิจารณาอย่างรอบคอบต่อการปฏิบัติภารกิจ ให้ระบบเก่าและใหม่ทำงานอย่างประสานสอดคล้องกันให้ได้
- ข้อเสนอแนะในการดำเนินการ
- เริ่มโครงการนำร่องและการทดสอบระบบ
เริ่มต้นด้วยโครงการนำร่องขนาดเล็ก เพื่อทดลองการปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือรบกับระบบไร้คนขับ โดยดำเนินการ ดังนี้
- คัดเลือกเรือรบที่มีพื้นที่และความเหมาะสม เช่น เรือหลวงจักรีนฤเบศร ซึ่งมีดาดฟ้าขนาดใหญ่ หรือเรือยกพล/ฟริเกตที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ มาเป็น “แพลตฟอร์มนำร่อง”
- จัดหาโดรนจำนวนหนึ่งในแต่ละมิติ เช่น UAV แบบขึ้นลงทางดิ่งหรือระยะสั้น USV ขนาดเล็กติดกล้องเรดาร์ และ UUV สำหรับตรวจใต้น้ำ ที่มีอยู่ในตลาดหรือพัฒนาในประเทศ หากยังไม่พร้อมทุกประเภทให้เริ่มจาก
โดรนทางอากาศก่อนเพราะเข้าถึงง่ายที่สุด
- ดำเนินการทดสอบปล่อยและรับโดรนจากเรือในสภาวะแวดล้อมจริง (sea trials) เพื่อประเมินข้อจำกัดด้านเทคนิค เช่น เสถียรภาพของเรือขณะปล่อย/รับ อิทธิพลของคลื่นลม ขีดความสามารถของอุปกรณ์ยก/เครน ตลอดจนประเมิน ความเข้ากันได้ของระบบควบคุมและการสื่อสาร ระหว่างเรือแม่กับโดรน
- ใช้แนวทางการทดลองเชิงวิวัฒน์ (iterative experimentation) เมื่อพบปัญหาให้ปรับแก้แล้วทดสอบซ้ำ ฝึกกำลังพลให้คุ้นเคยกับการบังคับโดรนจากบนเรือ และบูรณาการเข้ากับยุทธวิธีการรบของเรือค่อยเป็นค่อยไป
ผลลัพธ์ที่คาดหวังในขั้นนี้ คือองค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฏิบัติการร่วมเรือ-โดรนในบริบทของกองทัพเรือไทย ระบุสิ่งที่ต้องปรับปรุงบนเรือ และคุณลักษณะสำคัญของโดรนที่จำเป็น เช่น ขนาด/น้ำหนักสูงสุดที่เรือรองรับได้ วิธีการปล่อย/เก็บที่ปลอดภัย และการเชื่อมต่อข้อมูลที่เสถียร
- ดัดแปลงและปรับปรุงเรือที่มีอยู่
เมื่อผ่านขั้นทดลองพื้นฐานและพร้อมขยายผล ให้ดำเนินการปรับปรุงเรือรบที่มีอยู่ให้เป็นเรือแม่สำหรับระบบไร้คนขับอย่างเต็มรูปแบบยิ่งขึ้น โดยการดัดแปลงดังกล่าวสามารถดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละรายการ ตามลำดับความสำคัญและงบประมาณที่มี โดยควรเริ่มจากส่วนที่ค่าใช้จ่ายต่ำแต่ส่งผลสูง เช่น การติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารควบคุม การทำจุดยึดและพื้นกันลื่น แล้วจึงตามด้วยการปรับใหญ่ขึ้น เช่น ติดเครนหรือลิฟต์ใหม่
- ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี
สร้างความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือกับอุตสาหกรรมในประเทศ เพื่อผลักดันนวัตกรรมและลดการพึ่งพาต่างประเทศในระยะยาว
- จัดตั้งโครงการวิจัยและพัฒนาร่วม (R&D) ระหว่างกองทัพเรือ หน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนา สถาบันการศึกษา และบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศ เน้นการพัฒนาโดรนที่ตอบโจทย์ภารกิจทางทะเลของไทย เช่น โดรนตรวจการณ์ทางอากาศระยะปานกลางที่ลงจอดทางดิ่งได้ เรือผิวน้ำไร้คนขับสำหรับลาดตระเวนชายฝั่ง หรือยานใต้น้ำไร้คนขับสำหรับสำรวจและกู้ทุ่นระเบิด เป็นต้น
- สนับสนุนการผลิตและปรับแต่งในประเทศ หากจำเป็นต้องนำเข้าเทคโนโลยีโดรนบางส่วน ควรวางเงื่อนไขให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือประกอบ/ผลิตบางส่วนในไทย เพื่อเสริมทักษะบุคลากรไทยและสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ
- เรียนรู้จากภาคอุตสาหกรรมต่างประเทศผ่านความร่วมมือหรือการซื้องานวิจัย เช่น กรณีตุรกีกับโดรน Bayraktar TB2/TB3 ซึ่งประสบความสำเร็จเพราะภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาโดรนที่ตอบโจทย์ยุทธวิธีใหม่ๆ ไทยเองสามารถพิจารณาความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรที่มีเทคโนโลยีโดรนก้าวหน้า เช่น สหรัฐฯ จีน อิสราเอล หรือแม้แต่ตุรกี ในลักษณะที่ไทยได้ประโยชน์ด้านความรู้มาปรับใช้ต่อยอด
- จัดสรรงบประมาณส่งเสริมสตาร์ทอัพหรือนักวิจัยไทย ที่มีผลงานด้านหุ่นยนต์และระบบไร้คนขับทางทะเล เช่น ให้ทุนประกวดนวัตกรรมโดรนสำหรับกองทัพเรือ หรือสร้างสนามทดลอง (testbed) ในพื้นที่ท่าเรือ/อู่เรือของกองทัพเรือให้ผู้พัฒนาภายนอกเข้ามาทดสอบต้นแบบร่วมกับ ทร.ได้
ผลลัพธ์ระยะยาว คือการสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) ที่ภาคอุตสาหกรรมสามารถผลิตชิ้นส่วนและระบบย่อยที่เกี่ยวข้องกับโดรนทางทะเลได้ในประเทศ ตั้งแต่ตัวโดรน ระบบสื่อสาร ระบบควบคุม ไปจนถึงระบบอาวุธที่ติดตั้งบนโดรน สร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดต้นทุนการบำรุงรักษาในอนาคต
- ปรับโครงสร้างกำลังพลและงบประมาณ
การเปลี่ยนผ่านสู่สงครามยุคดิจิทัลที่ผสมผสานระบบไร้คนขับ จำเป็นต้องปรับแนวคิดด้านกำลังพลและงบประมาณให้สอดคล้อง
- จัดตั้งหน่วยงานหรือหมวดภารกิจใหม่ ภายในกองทัพเรือที่รับผิดชอบด้านระบบไร้คนขับโดยตรง เช่น ศูนย์ปฏิบัติการโดรนทางทะเล หรือหมวดโดรนประจำบนเรือแต่ละลำ โดยบรรจุกำลังพลที่ผ่านการฝึกด้านการควบคุมและซ่อมบำรุงโดรนโดยเฉพาะ บุคลากรเหล่านี้อาจมาจากการคัดเลือกกำลังพลที่มีพื้นฐานด้าน IT/วิศวกรรมมาฝึกเพิ่มเติม หรือการรับกำลังพลรุ่นใหม่ที่มีทักษะการเขียนโปรแกรม/ควบคุมหุ่นยนต์
- ปรับอัตรากำลังและโครงสร้างบนเรือ เมื่อเริ่มใช้งานโดรน กำลังพลบางส่วนบนเรืออาจปรับบทบาทจากงานที่โดรนเข้ามาทำแทนได้ไปสู่การเป็นผู้ควบคุมระบบโดรนและวิเคราะห์ข้อมูลที่โดรนส่งมา เช่น เจ้าหน้าที่สื่อสาร/เรดาร์ อาจต้องเรียนรู้การใช้ข้อมูลจาก UAV เพื่อประกอบการตัดสินใจ เจ้าหน้าที่ปราบเรือดำน้ำต้องใช้ฟีดข้อมูลจาก UUV มาช่วยค้นหาเป้าหมาย ดังนั้น การฝึกอบรมข้ามสายงานและการทำงานเป็นทีมระหว่างคนกับระบบไร้คนขับจะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
- จัดลำดับความสำคัญงบประมาณ โดยในแผนงบประมาณระยะกลาง-ยาว ควรพิจารณาเพิ่มสัดส่วนงบสำหรับระบบไร้คนขับ ทั้งด้านการจัดหา การพัฒนา และการซ่อมบำรุง ควบคู่ไปกับการทบทวนลดงบในส่วนที่ซ้ำซ้อนหรือลดความสำคัญลงเมื่อมีโดรนเข้ามาเสริม (เช่น งบซ้อมยิงอาวุธยุทโธปกรณ์บางประเภทอาจลดลง หากบางภารกิจใช้โดรนแทน) อย่างไรก็ตาม ต้องรักษาสมดุลระหว่างยุทโธปกรณ์แบบดั้งเดิมกับแบบไร้คนขับ ไม่ให้ฝ่ายใดถูกลดความสำคัญจนส่งผลกระทบต่อความพร้อมรบโดยรวม ยุทธศาสตร์งบประมาณที่เหมาะสมควรสะท้อนแนวคิดว่าโดรนเป็น “ส่วนเติมเต็ม” ศักยภาพ ไม่ใช่การแทนที่โดยสมบูรณ์ และการลงทุนในระบบใหม่นี้ก็เพื่อ “ซื้อความเสี่ยง” (buy down risk) ให้กำลังพลปลอดภัยขึ้น ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการให้สูงขึ้นในภาพรวม
นอกจากนี้ ควรผลักดันให้มีการฝึกอบรมและสร้างวัฒนธรรมใหม่ในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เปิดโอกาสให้กำลังพลเสนอไอเดียการใช้โดรนในรูปแบบใหม่ๆ และสนับสนุนการศึกษาต่อ/ดูงานต่างประเทศด้านนี้ เพื่อเตรียมทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรองรับยุทธศาสตร์ใหม่
- พัฒนาโครงข่ายการสื่อสารและระบบควบคุมสำหรับโดรน
ระบบไร้คนขับจะมีประโยชน์เต็มที่ต่อเมื่อมีโครงข่ายการสื่อสารและควบคุม (C4ISR) ที่มั่นคง ปลอดภัย และครอบคลุม
- เครือข่ายสื่อสารความเร็วสูงบนเรือ โดยติดตั้งระบบเครือข่ายภายในเรือแม่ที่รองรับการส่งข้อมูลปริมาณมากแบบเรียลไทม์จากโดรนมายังห้องควบคุมและศูนย์ยุทธการ เช่น ลิงก์ข้อมูลภาพและเซ็นเซอร์จาก UAV แบบสดๆ ต้องส่งมายังจอของผู้บังคับบัญชาได้ทันทีเมื่อจำเป็น การที่สหรัฐฯ พัฒนาแนวคิดเครือข่ายแบบ “mesh network” เพื่อเชื่อมโยงโดรนและเซ็นเซอร์หลายตัวเข้าด้วยกันก็เพื่อให้ข้อมูลสนามรบมีความสมบูรณ์และฉับไวยิ่งขึ้น ไทยจึงควรศึกษาและนำหลักการนี้มาปรับใช้ในระดับที่เหมาะสม
- การสื่อสารระยะไกลและดาวเทียม โดยพัฒนาช่องทางสื่อสาร ทั้งวิทยุในระยะสายตา (Line-of-Sight) และผ่านดาวเทียม (SATCOM) สำหรับควบคุมโดรนที่ออกปฏิบัติการไกลจากเรือหรืออยู่นอกระยะการมองเห็น โดยต้องมั่นใจว่าการสื่อสารมีความต่อเนื่องและเข้ารหัสปลอดภัย ป้องกันการลักลอบดักฟังหรือแทรกแซงสัญญาณ ซึ่งเป็นภัยคุกคามรูปแบบหนึ่งในสงครามสมัยใหม่
- ระบบควบคุมและหุ่นยนต์อัตโนมัติ โดยพัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุมที่ช่วยให้กำลังพลสั่งการโดรนหลายตัวได้พร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (swarm control) และพึ่งพา AI ในการช่วยตัดสินใจ/วางแผนเส้นทางสำหรับโดรน เพื่อให้สามารถปฏิบัติการแบบ “มนุษย์ควบคุมได้” (Human-on-the-loop) ลดภาระการควบคุมจุกจิก ให้มนุษย์เน้นที่การตัดสินใจเชิงยุทธวิธีจากข้อมูลที่โดรนส่งมา
- บูรณาการเข้ากับระบบ C2 เดิม ทำให้ระบบควบคุมโดรนเชื่อมต่อกับระบบบัญชาการและควบคุม (C2) ที่กองทัพเรือใช้อยู่ เช่น เชื่อมข้อมูลตำแหน่งโดรน กล้อง UAV แบบถ่ายทอดสด เข้าสู่ภาพรวมสถานการณ์ทางยุทธวิธี (common operational picture) ที่ศูนย์ยุทธการของเรือและศูนย์บัญชาการบนฝั่ง เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับเข้าถึงข้อมูลและสั่งการได้แบบรวมศูนย์
- ทดสอบความทนทานของเครือข่าย จัดการฝึกซ้อมด้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์และไซเบอร์เจาะจงกับระบบโดรน เช่น จำลองสถานการณ์ถูกรบกวนสัญญาณ GPS หรือการถูกแฮ็กระบบควบคุม เพื่อทดสอบว่าระบบยังทำงานได้หรือมีโหมดสำรอง (เช่น โดรนสามารถกลับฐานเองเมื่อขาดการติดต่อ หรือสลับไปใช้ระบบนำร่องเฉื่อยเมื่อสัญญาณขาดหาย) การทดสอบล่วงหน้าเช่นนี้จะช่วยระบุจุดอ่อนและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับระบบในยามสงครามจริง
- บทสรุป
การเปลี่ยนผ่านสู่แนวคิด Drone Mothership ถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่กองทัพเรือไทยควรรีบคว้าไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านยุคนี้ แนวโน้มระดับโลกชี้ชัดว่าการผสมผสานระบบไร้คนขับเข้ากับกำลังรบทางทะเลจะเป็นกุญแจสำคัญของความเหนือกว่าเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวนและโจมตี การรักษาความปลอดภัยของกำลังพล หรือการประหยัดงบประมาณในระยะยาว ไทยควรเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง เริ่มจากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ดัดแปลงเรือปัจจุบัน และทดลองใช้โดรนที่หาได้) แล้วค่อยๆ ยกระดับขีดความสามารถแบบก้าวกระโดด (leapfrog) ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่มาเสริมจุดแข็งเดิม
การดำเนินการตามข้อเสนอแนะข้างต้นควรทำอย่างเป็นระบบ ขั้นตอน และบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้วางนโยบาย หน่วยปฏิบัติ ไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมและนักวิจัย การสื่อสารสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ของ Drone Mothership ในหมู่ผู้นำและกำลังพลก็เป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้เกิดการสนับสนุนและแรงผลักดันจากภายในองค์กรเอง แม้การปรับตัวครั้งนี้จะมีความท้าทายอยู่มาก แต่หากทำได้สำเร็จ กองทัพเรือไทยจะสามารถวางตำแหน่งยุทธศาสตร์ของตนในภูมิภาคได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น คือเป็นกองทัพเรือที่คล่องตัว ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีได้เต็มประสิทธิภาพ มีความอเนกประสงค์ และพร้อมรับมือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิผล และที่สำคัญที่สุดคือ บรรลุภารกิจในการรักษาความมั่นคงทางทะเลของชาติได้อย่างคุ้มค่าและปลอดภัยยิ่งขึ้น
อ้างอิง:
[1] นาวาตรี ดร.บดินทร์ สันทัด และนาวาโท กนก บุนนาค “‘An Armada for the Nation’ คิดใหม่ ทำใหม่ ยุทธศาสตร์การต่อเรือเพื่ออนาคต,” The Standard (Thailand), 02-May-2025. [Online]. Available: https://thestandard.co/opinion-an-armada-for-the-nation/. [Accessed: 12-Sep-2025].
[2] G. Till, Seapower: A Guide for the Twenty-First Century, 3rd ed. London, U.K.: Routledge, 2013.
[3] ศาสตราจารย์ Geoffrey Till นักยุทธศาสตร์ด้านสงครามทางเรือ เป็นนักวิชาการคนแรก ๆ ที่นำเสนอแนวคิด drone mothership ที่กล่าวถึงแนวคิดที่ว่า “เราอาจจะต้องเปลี่ยนความสนใจจากตัวเรือเฉย ๆ มาเป็นการวิเคราะห์ว่าเรือลำนั้นบรรทุกอะไรมาบ้าง เรือผิวน้ำอาจจะเป็น mother ship หรือ เรือแม่ ที่สามารถอำนวยให้เกิดการใช้ระบบที่ใช้คนและไม่ใช้คน มีสถานีบังคับบัญชา และระบบสนับสนุนการรบด้วย” แนวคิดนี้ถูกเสนอมาพร้อมๆ กับแนวคิด Distributed Lethality (DL) ที่หมายความถึงการกระจายอำนาจกำลังรบทั้งปืน อาวุธนำวิถี เซนเซอร์ และระบบเครือข่าย ให้อยู่ในเรือหลากหลายลำมากขึ้น แทนที่จะเป็นแนวคิดแบบเดิมที่เน้นเรือที่มีขนาดใหญ่และปืนขนาดใหญ่ในเรือไม่กี่ลำ อีกแนวคิดที่ล้ำหน้าไปอีกคือ การทำให้เรือเล็กลงเรื่อย ๆ เพื่อให้มีความคล่องตัวและหนาแน่นพอที่จะต่อกรกับเรือขนาดใหญ่ที่อุ้ยอ้ายและเคลื่อนที่ช้า (swarming attacks) โดยฉพาะบริเวณที่มีการจราจรที่คับคั่งและวุ่นวายด้วย
[4] T. Ozberk, “Turkiye’s Drone Carrier TCG Anadolu Starts Official Sea Trials,” Naval News, 23-Jun-2022. [Online]. Available: https://www.navalnews.com/naval-news/2022/06/turkiyes-drone-carrier-tcg-anadolu-starts-official-sea-trials/?utm_source=chatgpt.com
[5] T. Ozberk, “Iran accepts delivery of homegrown drone and helicopter carrier ship Shahid Bahman Bagheri,” Naval News, 06-Feb-2025. [Online]. Available: https://www.navalnews.com/naval-news/2025/02/iran-accepts-delivery-of-homegrown-drone-carrier-shahid-bahman-bagheri/. [Accessed: 12-Sep-2025].
[6] T. Ozberk, “Indonesia Eyes Giuseppe Garibaldi Aircraft Carrier Procurement,” Naval News, 21-Jun-2025. [Online]. Available: https://www.navalnews.com/naval-news/2025/06/indonesia-eyes-giuseppe-garibali-aircraft-carrier-procurement/. [Accessed: 12-Sep-2025].
[7] “Chinese Yard Launches Lead Vessel of New Drone-Capable Amphibious Ship Class,” Baird Maritime, 27-Dec-2024. [Online]. Available: https://www.bairdmaritime.com/security/naval/naval-ships/chinese-yard-launches-lead-vessel-of-new-drone-capable-amphibious-ship-class#:~:text=China%27s%20Hudong,Shanghai%20on%20Friday%2C%20December%2027. [Accessed: 12-Sep-2025].
[8] [1] BAE Systems, “MOTHERSHIP FOR UNMANNED VEHICLES LOOKS TO THE FUTURE,” News Release, Sep. 11, 2007. [Online]. Available: https://web.archive.org/web/20071102104438/http://www.baesystems.com/Newsroom/NewsReleases/autoGen_107810163127.html. [Accessed: Sep. 15, 2025].