สองเรื่องเล่าของ ‘พลอย’ และ ‘เบลล่า’ เด็กไทยที่เติบโตในระบบการศึกษาสิงคโปร์ – จากห้องสมุดหลังเลิกเรียน สู่การหักออมอัตโนมัติ 40% ตั้งแต่ต้นเดือน จากวัฒนธรรม ‘ติวตัวต่อตัว’ ถึงการปลูกฝังให้รับผิดชอบชีวิตตัวเอง บทเรียนนี้ไม่ใช่แค่การเรียนเก่งขึ้น แต่คือ ‘กรอบคิดเรื่องเงินและเวลา’ ที่ทำให้การเติบโตทางการเงินเป็นเรื่องประจำวัน ไม่ใช่วิชาเลือก
เมื่อต้นเดือนต.ค. ที่ผ่านมา THE STANDARD WEALTH ได้เข้าร่วมงาน ‘การแข่งขันแผนธุรกิจระดับโลกลี กวน ยู (Lee Kuan Yew Global Business Plan Competition) ครั้งที่ 12 ของมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ (SMU)’ ในฐานะสื่อแห่งหนึ่งจากประเทศไทย และนอกจากเข้าร่วมงานตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว เรายังได้มีโอกาสพูดคุยกับเด็กไทย 2 คน ที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ (SMU)
คนแรกคือ ‘พลอย’ พัชรญาติ์ เจตน์แจ้งจิตต์ นักศึกษาปี 3 คณะเศรษฐศาสตร์ วิชาโทการเงิน และคนที่สองคือ ‘เบลล่า’ วิภา ใจกว้าง นักศึกษาปี 2 คณะบริหารธุรกิจ
ทั้งสองคนกำลังเดินเส้นทางแตกต่างแต่ตั้งอยู่บนแกนเดียวกัน ซึ่งก็คือการใช้การศึกษาที่นี่เป็นบันไดสู่ชีวิตที่มั่นคงและอิสระกว่าที่เคยฝันไว้
‘พลอย’ พัชรญาติ์ เจตน์แจ้งจิตต์
พลอยแนะนำตัวเรียบง่าย เธอเรียนเศรษฐศาสตร์ พร้อมทำ Second Major เป็นไฟแนนซ์ เลือกสิงคโปร์ด้วยเหตุผลที่ไม่ซับซ้อน คือ ได้ทุน ปลอดภัย เจริญในภูมิภาค และใกล้บ้านพอให้ครอบครัวสบายใจ
ส่วนเบลล่าย้ายตามครอบครัวมาตั้งแต่ม.1 อยู่ที่สิงคโปร์มาราวเจ็ดปีแล้ว จึงทำให้พื้นฐานการเรียนและวิธีคิด ถูกหล่อมาจากมัธยม การเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศเดิมจึงเหมือนต่อจิ๊กซอว์ที่เริ่มเข้ารูป
‘เบลล่า’ วิภา ใจกว้าง
มุมมองต่อสังคมการศึกษาที่สิงคโปร์ของทั้งคู่ มีจุดร่วมคือ ‘วินัยและการพึ่งพาตัวเอง’ ในสิงคโปร์ เด็กส่วนใหญ่ ไป-กลับโรงเรียนเองตั้งแต่เล็กๆ การจัดเวลาไม่ใช่คำคมบนโปสเตอร์ แต่เป็นทักษะเอาตัวรอดจริงจัง
“ที่นี่ถ้ารู้ว่ามีสอบอีกสามเดือน ทุกคนเริ่มอ่านแล้ว” เบลล่าแชร์ประสบการณ์ให้เราฟัง โดยเปรียบกับช่วงอยู่ไทย ที่หลายครั้งเริ่มอ่านใกล้สอบกว่า และเสริมว่า ที่สิงคโปร์ หลังเลิกเรียน การไปร้านหนังสือและห้องสมุดเป็นกิจวัตรมากกว่าทริปเดินห้าง
ขณะที่พลอยเสริมว่า เพื่อนดีคือแรงส่งชั้นดี โดยก่อนหน้านี้ เธอเคยงงว่าทำไมทุกคนถึงตรงไปห้องสมุดแทนที่จะไปเล่น แต่พอทำตาม กลายเป็นจุดเปลี่ยนนิสัยอ่านหนังสือของตัวเอง และได้ข้อสรุปของตัวเองว่า วินัยไม่ได้เกิดจากคำสั่ง แต่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่คนรอบตัว ‘ทำจริง’
คำว่า ‘เรียนพิเศษ’ ในสิงคโปร์มีอยู่ แต่โครงสร้างต่างจากไทยอย่างชัดเจน เมื่อโตขึ้นรูปแบบหลักคือ ‘ติวเตอร์ตัวต่อตัว’ ที่บ้าน ไม่ใช่คลื่นแมสที่ทุกคนกรูกันไปศูนย์ใหญ่ ซึ่งสะท้อนว่าปัญหาของคุณนั้น ‘เฉพาะตัว’ และสมควรได้ทางแก้ที่ ‘เฉพาะคุณ’ เช่นกัน
‘การเงินส่วนบุคคล’ แทรกอยู่ในระบบชีวิต
ทั้งคู่ แชร์ให้เราฟังว่า บทเรียน ‘การเงินส่วนบุคคล’ ไม่ได้ปรากฏเป็นวิชาในตารางเรียน แต่แทรกอยู่ในระบบชีวิต สิงคโปร์มีเงินออมภาคบังคับสำหรับคนทำงาน (เช่น CPF) ที่โยงกับสุขภาพและที่อยู่อาศัย วัฒนธรรม ดังนั้น การ ‘ซื้อประกันตั้งแต่ลูกเกิด’ จึงไม่ได้ทำเพราะถูกโฆษณาชวนเชื่อ แต่ทำเพราะค่าครองชีพและค่ารักษาพยาบาลคือความจริงที่ต่อรองไม่ได้
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังสื่อสารเรื่องประกันและวางแผนการเงินผ่านอีเมลและอีเวนต์ต่อเนื่อง ไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนซื้อทันที แต่เพื่อให้รู้จักผลิตภัณฑ์ เข้าใจสิทธิ และตัดสินใจบนฐานข้อมูล ไม่ใช่อคติ
ทั้งนี้ พลอย มีอีกชั้นของบทเรียน เธอเคยไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ และได้เรียนวิชาว่าด้วย ‘ภาษี – การลงทุน -เกมจำลองการเงิน’ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว กลับมาแล้วสรุปสั้นๆ ว่า ‘ออมอย่างเดียวสู้เงินเฟ้อไม่ไหว ต้องลงทุน และยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบ’ ประโยคนี้ไม่ใช่สโลแกน แต่เป็นเข็มทิศที่เธอใช้จริงในการจัดงบทุนการศึกษาที่ได้รับ เธอเฉลี่ยค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด ลดความฟุ่มเฟือย หารายได้เสริมด้วยการสอนออนไลน์
และที่สำคัญ พลอยตระหนักรู้ว่า ‘เงินสำรองยังไม่หนา’ จึงชะลอการลงทุนจริงจังไว้ก่อน ซึ่งนี่คือการบริหารความเสี่ยงที่ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังทำไม่ได้
ด้านเบลล่า เลือกวิธี ‘หักออมก่อนใช้’ ราว 40% ตั้งแต่ต้นเดือน โยกเข้าบัญชีแล้วไม่แตะต้อง ส่วนการลงทุน เธอกำลังศึกษาจริงจัง ไม่ลงเพราะ ‘เทรนด์’ หรือ ‘ความเท่’ ที่เพื่อนบางคนเผลอตาม ซึ่งเธอได้รับคำเตือนจากพ่อผู้ทำงานด้านการเงินที่ยังดังก้องอยู่ว่า “หุ้นไม่ใช่ของเล่น ข้ามคืนพอร์ตหายได้ อย่าลงเพื่อความเท่ เพราะความเท่ไม่เคยคุ้มค่าความเสี่ยง”
เมื่อเปรียบไทย-สิงคโปร์ ทั้งคู่เห็นตรงกันว่าจุดที่ระบบการศึกษาไทยควรเร่งคือ ‘ความกระหายใฝ่รู้ นอกห้องเรียน’ ไม่ใช่เพิ่มชั่วโมงติว แต่เพิ่มพื้นที่ให้ลงมือจริง เช่น ชมรม แข่งเคส โปรเจกต์ ลงสนามรู้จักภาษี บัตรเครดิต ดอกเบี้ยบ้าน และเครื่องมือพื้นฐานที่แตะชีวิตทันที
วางแผนการเงินไม่ได้เริ่มวันที่มีเงินเดือน แต่เริ่มตั้งแต่วันที่ใช้เงินก้อนแรก
ปลายบทสนทนา เราพูดคุยเรื่อง ‘ความฝัน/เป้าหมาย’ เบลล่าเริ่มต้นจากความรักในแฟชั่น-บิวตี้ แต่เมื่อเห็นพลังของการบริหารเงิน เธออยากมี ‘ทักษะจัดการทรัพย์สินให้เติบโต’ มากกว่าถูกตรึงด้วยเส้นทางเดียว
ส่วนพลอย เนื่องจากเติบโตมากับครอบครัวชนชั้นกลาง และได้เห็นการหาเช้ากินค่ำที่ยืดหยุ่นน้อยลงตามอายุ เธอเลยตั้งธง ‘อิสรภาพทางการเงิน’ (financial freedom) ตั้งแต่เนิ่นๆ และใช้ทุนการศึกษาเป็น ‘ตั๋ว’ ไปสู่โอกาสที่กว้างกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้ทำให้เรื่องเล่าของทั้งสอง ไม่ใช่นิทานชวนฝันเรื่อง ‘เด็กเก่งเมืองนอก’ แต่เป็นพิมพ์เขียวแบบบ้านๆ ที่ลงมือได้จริง เช่น
- เริ่มจากการจัดการเวลาอย่างเข้มข้น ไม่ใช่แค่ตามคำขวัญ
- หักออมอัตโนมัติก่อนใช้
- ศึกษาประกันและสิทธิตัวเอง
- ลงทุนเมื่อ ‘ความรู้พร้อม’ ไม่ใช่เมื่อ ‘กระแสมา’
- ใช้เพื่อนดีเป็นแรงขับ และยอมให้สภาพแวดล้อมเข้มงวดปั้นเราให้แกร่งขึ้น
ในประเทศที่รถไฟฟ้ามาถึงตรงเวลาเกือบทุกนาที สิงคโปร์สอนเราว่า ‘วินัย’ ไม่ใช่เครื่องประดับ แต่เป็นโครงเหล็กของชีวิต เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจส่วนบุคคล ที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เมื่อเกิดวิกฤตเท่านั้น แต่คือเรื่องเล็กๆ ทุกวัน ตั้งแต่ตัดสินใจแวะห้องสมุดหลังเลิกเรียน ไปจนถึงโยกเงินเข้าบัญชีออมอัตโนมัติในเช้าวันเงินเข้า
บทเรียนเหล่านี้ไม่ต้องรอให้มหาวิทยาลัยเปิดสอน เพราะมันเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ที่โต๊ะอ่านหนังสือ-โต๊ะทำงานของเราเอง ในกระเป๋าสตางค์ของเราเอง และในนาฬิกาปลุกทุกเช้าที่ดังตรงเวลา