เศรษฐกิจไทยดูจะมีแสงแห่งความหวังขึ้นหลัง หลังจากมีการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจ แต่ก็เผชิญความท้าทายใหม่เช่นเดียวกัน ซึ่งผลจะเป็นเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับการบริหารความท้าทายใหม่ที่กำลังเข้ามา
ในภาพใหญ่ Innovest X มองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงชะลอตัวที่รุนแรงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 และอาจลากยาวสู่ครึ่งแรกของปี 2026 โดยใน 4 ไตรมาสข้างหน้าอาจขยายตัวได้ต่ำกว่า 1% ทำให้ทั้งปี 2025-2026 เศรษฐกิจไทยคาดขยายตัวได้เพียง 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ และท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง รัฐบาลภูมิใจไทยภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล กำลังเผชิญกับ 2 ความเสี่ยงหลักที่ต้องบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน
ความเสี่ยงที่ 1: ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ท้าทายภาคการส่งออก
ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรง แตะระดับ 31.7 บาทต่อดอลลาร์ แม้ระยะหลังจะเริ่มอ่อนค่าลงบ้าง โดยล่าสุดอยู่ที่ 32.24 บาทต่อดอลลาร์ แข็งขึ้น 6.4% นับจากต้นปี ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทนี้เกิดจากสภาพคล่องในไทยที่ตึงตัวกว่าประเทศคู่ค้าคู่แข่งโดยการเติบโตของ M2 ในเดือนกรกฎาคม 2568 ไทยขยายตัวเพียง 3.6% ต่อปี ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เปรียบเทียบกับจีน 8.8% อินเดีย 12.2% และเวียดนามที่เกิน 6% ทำให้ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) แข็งค่าขึ้นสูงถึง 30% เมื่อเทียบกับปี 2011
นอกจากนั้น การเกินดุลการค้าก็เป็นผลเช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาที่เติบโตกว่า 30% ต่อปี คิดเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกทองคำทั้งหมดที่เฉลี่ยไตรมาสละประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่สัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่พร้อมจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปีหน้า ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ (DXY) อ่อนค่าลงถึง 10.9% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ความเชื่อมั่นจากทีมเศรษฐกิจใหม่ที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าตลาดเงินตลาดทุนไทยมากขึ้น
INVX คาดการณ์ค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 32.4 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2025 และ 32.1 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2026 โดยคาดว่าจะแตะระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์ปลายปีนี้ การแข็งค่าของเงินบาทนี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจ
ความเสี่ยงที่ 2: วิกฤตการคลัง หลัง Fitch ปรับ Outlook เป็น Negative
ความเสี่ยงที่รุนแรงกว่าคือสถานการณ์ภาคการคลังไทยที่เพิ่งได้รับการเตือนจาก Fitch Ratings ที่ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือของไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative) เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา ตาม Moody’s ที่ปรับไปแล้วในเดือนเม.ย. โดยขณะนี้มี 2 จาก 3 บริษัทจัดอันดับเครดิตหลักให้มุมมองลบต่อไทย เหลือเพียง S&P ที่ยังคง “Stable” โดย Fitch ให้เหตุผลจากการเมืองที่เสี่ยงมากขึ้น และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่ำลง ประกอบกับหนี้สาธารณะรวมของรัฐบาลที่สูงถึง 59.4% ของ GDP
การปรับ Outlook นี้ส่งผลกระทบทันทีต่อตลาดพันธบัตรไทย โดยผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปีดีดจาก 2.08% เป็น 2.10% และพันธบัตร 10 ปีเพิ่มจาก 1.34% เป็น 1.41% ทำให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ต้องประกาศลดการกู้เงิน 8% ในปีงบประมาณ 2569 เหลือ 2.37 ล้านล้านบาท
จากข้อมูลประวัติศาสตร์แสดงว่า 50% ของกรณีที่ถูกปรับ Outlook เป็น Negative จะถูกลดอันดับจริงภายใน 1-2 ปี ดังนั้นไทยจึงมีเวลาจำกัดในการปรับปรุงวินัยการเงินการคลังและกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลดอันดับจาก BBB+ เป็น BBB
เรามองว่าปัญหาสำคัญภาคการคลังของเศรษฐกิจไทยได้แก่การที่รายได้รัฐเติบโตไม่ทันรายจ่าย เนื่องจากรายได้รัฐจากภาษีโตต่ำตามการเติบโตเศรษฐกิจที่จะเผชิญความเสี่ยงจากสงครามการค้า ที่จะกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐมีรายจ่ายประจำในระดับสูงและลดลงลำบาก ทำให้ขาดดุลมากขึ้น
การวิเคราะห์เชิงลึกของ Innovest X พบว่า 2 ใน 4 เครื่องชี้วัดการคลังมีความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่ หนี้สาธารณะปัจจุบันที่ 65.4% พุ่งสูงใกล้ 70% ของ GDP และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ที่ขยายตัวลดลงเหลือ 1.2% ต่อปี (เฉลี่ย 5 ปี) จาก 3.2% ในปีก่อน แต่อีก 2 เครื่องชี้ยังคงทรงตัวคือการขาดดุลงบประมาณที่ 4.3% ของ GDP ลดลงจาก 4.6% ในปีก่อนและภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ที่ 8.6% ต่ำกว่าเพดาน Investment Grade ที่ 10%
อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นและยกระดับศักยภาพในการหารายได้ของประชาชนในระยะยาวผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่
(1) โครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ ที่มอบสิทธิประโยชน์ให้ผู้ยื่นภาษีและยกระดับร้านค้าสู่ระบบอีคอมเมิร์ซ
(2) การปฏิรูปรายได้ภาครัฐโดยไม่ต้องแก้กฎหมายและจัดทำ “แผนการคลังระยะปานกลาง” ใหม่
(3) การใช้โมเดล ‘PPP fast track’ ปลดล็อกกฎระเบียบเพื่อเร่งการลงทุน
และ (4) การยกระดับธรรมาภิบาลการคลังผ่านการจัดทำ Cost-Benefit Analysis ซึ่งเรามองว่า เป็นแผนการที่ดีเพราะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ขณะที่จะเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาวจากการลงทุน แต่เรากังวลว่าข้อจำกัดสำคัญคือระยะเวลาเพียง 4 เดือนและการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อาจทำให้การผลักดันนโยบายมีความยากลำบาก
ด้วยภาพเศรษฐกิจที่จะชะลอตัว แต่มีความหวังจากทีมเศรษฐกิจใหม่ เรามีกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” โดยมองว่า SET มีโอกาสพักฐานหรือแกว่งตัวในกรอบแคบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยต้องติดตามแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะมีผลต่อการเรียกความเชื่อมั่นการลงทุนและการไหลเข้าของ Fund Flow
โดยเราแนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลักคือ หุ้น Earnings Play (ADVANC BCPG GULF SCC) ที่คาดผลงานครึ่งหลังของปีเติบโตดี และหุ้นปันผลคุณภาพดี (PTT TTB) ที่ให้เงินปันผลเกิน 2% พร้อม 2 ธีมเทรดดิ้งคือหุ้นที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์น้ำท่วม (TASCO BJC HMPRO GLOBAL) และหุ้นที่ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มค้าปลีก เครื่องดื่ม ท่องเที่ยว นิคม และวัสดุก่อสร้าง
ขอให้นักลงทุนโชคดี