ท่ามกลางดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นจากราว 1,050 จุด เมื่อเดือนมิถุนายน กลับมาสู่ระดับ 1,300 จุด ในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา คิดเป็นการปรับตัวขึ้นกว่า 20% ภายในเวลา 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ดัชนี SET ที่ปรับตัวขึ้นมาสู่ระดับนี้ ในมุมมองของสายงานวิจัย บล.บัวหลวง เชื่อว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างแพง หากอิงจากพื้นฐานและตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค
พิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง บล.บัวหลวง กล่าวว่า เมื่อพิจารณาในเชิงมูลค่าแล้ว ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจน้อยลง โดยปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E ประมาณ 14.4 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในอาเซียนที่อยู่ประมาณ 12.4 เท่า
ในขณะเดียวกัน ปัจจัยพื้นฐานอย่างความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็อ่อนแอลง โดยอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ของตลาดอยู่ที่ประมาณ 8% ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากในอดีต 10 ปีก่อนที่เคยอยู่สูงถึง 15% และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบันที่อยู่ราว 10%
“หุ้นไทยยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี เพราะสตอรี่การเติบโตยังไม่น่าตื่นเต้นพอ” นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงกังวลต่อความไม่แน่นอนของกฎเกณฑ์ในตลาดทุนในช่วงที่ผ่านมา และต้องการเห็นเสถียรภาพของกฎระเบียบที่ชัดเจนก่อนกลับเข้ามาลงทุน ซึ่งคาดว่าแรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะยังคงดำเนินต่อไปหากภาพใหญ่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
บล.บัวหลวง ประเมินเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2568 ไว้ที่ 1,280-1,300 จุด และเป้าหมายสิ้นปี 2569 ที่ 1,440 จุด
จับตา Technical Recession
ด้านวัชราภรณ์ กันทะพะเยา ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง สายงานวิจัย กล่าวว่า แม้บล.บัวหลวงจะปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 จาก 1.4% เป็น 1.8% จากภาคส่งออกในช่วงแรกของปีนี้เติบโตได้ดีกว่าคาด และการลงทุนภาคเอกชนที่พลิกกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 2 หลังจากติดลบมา 4 ไตรมาสติดต่อกัน แต่แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังกลับน่ากังวล
วัชราภรณ์กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะ Technical Recession ซึ่งหมายถึง GDP ที่หดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ติดต่อกัน 2 ไตรมาส โดยคาดว่า GDP ไตรมาส 3/2568 จะเติบโต 1.3% YoY แต่หดตัว -0.4% QoQ ส่วนGDP ไตรมาส 4/2568 จะเติบโต 0.1% YoY แต่หดตัว -0.7% QoQ
ปัจจัยกดดันหลักยังคงมาจากภาคการส่งออกซึ่งคิดเป็น 65-70% ของ GDP ส่วนแนวโน้มปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตชะลอลงเหลือเพียง 1.6% เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีของทรัมป์ (Reciprocal Tariff) อย่างเต็มปี
ท่ามกลางภาพรวมที่น่ากังวล ยังคงมีสัญญาณบวกที่สำคัญคือ การลงทุนภาคเอกชน (Private Investment) ซึ่งเป็นความหวังในระยะกลางถึงยาว บล.บัวหลวง ชี้ว่าตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการลงทุนใน Data Center ที่มีเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่อยู่นอกเหนือปัจจัยการเมือง
นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของธุรกิจต่างๆ เช่น PCB และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ หากไทยถูกบีบให้ต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) มากขึ้นจากกฎเกณฑ์ทางการค้าใหม่ๆ ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยให้ผู้ประกอบการในประเทศได้รับประโยชน์และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งขึ้นได้ในระยะยาว
จากภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยที่ยังขาดปัจจัยหนุนที่น่าตื่นเต้นในระยะสั้น บล.บัวหลวงแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยควรมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 20% ของพอร์ตโฟลิโอ เพื่อแสวงหาโอกาสการเติบโตที่ดีกว่า
ขณะเดียวกัน
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับเศรษฐกิจโลกคือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Non-farm Payrolls) เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดกำลังซื้อและการบริโภคของสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของขนาดเศรษฐกิจ และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางการส่งออกของไทย
ภาพ: Jackyenjoyphotography / Getty Images