“โลกกำลังกลับเข้าสู่ยุคความขัดแย้งระหว่างประเทศ” ประโยคนี้ หากกล่าวเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว นักวิชาการและกูรูต่างๆ ก็คงจะส่ายหัวกันเป็นแถว เพราะในวันนั้นโลกใบนี้ดูจะมุ่งหน้าไปสู่ความร่วมมือกันเสียส่วนใหญ่ จนหลายๆ คนแอบคิดไปว่าสงครามและความขัดแย้งน่าจะกลายเป็นเรื่อง ‘โบราณ’ ไปเสียแล้ว
แต่มาวันนี้ คงไม่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไป เพราะภาพมันชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศในลักษณะ สงครามร้อน (Hot war) ได้หวนกลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้งหลังจากห่างหายไปภายหลังสงครามเย็น รวมไปถึงการที่หลายๆ ประเทศมีทีท่าว่าจะให้ความสำคัญกับระเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศน้อยลง จนเกิดเป็นคำถามของการถดถอยของสถาบันระหว่างประเทศตลอดจนความศักดิ์สิทธิ์ของระเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศ
การอุบัติขึ้นของความขัดแย้งระหว่างประเทศในยุคนี้ จึงต้องบอกว่า ‘ไม่ธรรมดา’ เพราะมาพร้อมวิวัฒนาการ ทั้งในแง่ของเครื่องไม้เครื่องมือ รูปแบบ หรือแม้แต่มิติของสนามรบ (Domain of War)
ในอดีตที่ผ่านมา ‘Domain of War’ หรือพูดง่ายๆ ว่า ‘สนามรบ’ ในรูปแบบต่างๆ ถูกแบ่งออกเป็น 3 มิติหลักๆ ได้แก่ ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งก็เกิดจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและรูปแบบการรบที่ได้รับการพัฒนาจากเดิมที่มีแค่ทางบก ไปสู่การใช้เรือรบพุ่งกันทางน้ำ จนไปถึงทางอากาศ
มิติการรบเช่นนี้อยู่กับโลกของเรามาไม่น้อยกว่าศตวรรษและได้พามนุษย์ผ่านประสบการณ์หลายต่อหลายครั้ง เช่น สงครามโลกทั้งสองครั้ง สงครามเย็น รวมไปถึงสงครามอสมมาตรในช่วงเวลา 20 ปีให้หลัง อย่างไรก็ดี เมื่อวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสูงขึ้น เครื่องไม้เครื่องมือจึงมีมากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำอะไรต่ออะไรได้มากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาจึงมีการขยายขอบเขตมิติการรบ หรือ Domain ออกเป็น 5 มิติ โดยเพิ่มมิติของไซเบอร์ (Cyber) และมิติของอวกาศ (Space) เข้าไปด้วย
สาเหตุสำคัญ ก็เพราะมิติใหม่ทั้ง 2 ได้มีวิวัฒนาการจากการเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของมนุษย์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของภัยคุกคามด้วยเช่นกัน เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ ทั้งโดยรัฐ และตัวละครที่ไม่ใช่รัฐ หรือแม้แต่การใช้พื้นที่ทางอวกาศและดาวเทียม เป็นเครื่องมือในการสอดแนมหรือแม้แต่แทรกแซงทางเทคโนโลยี เป็นต้น
จึงกล่าวได้ว่า มิติทั้ง 2 ได้กลายเป็น ‘สนามรบ’ ใหม่ของโลกไปเสียแล้ว แม้จะเป็นมิติที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าชัดเจนเหมือน 3 มิติแรก แต่แน่นอนว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน และจะเป็นมิติที่คงอยู่ต่อไปในอนาคตอีกยาวนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโลกเทคโนโลยีจะไม่เดินถอยหลังอย่างแน่นอน
หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ จึงได้หันเหมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเองเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามรบใหม่ทั้ง 2 มิตินี้ ทั้งด้านเทคโนโลยีที่จะเป็นเสมือนอาวุธในสนามรบ รวมไปจนถึงการขยายอิทธิพลในสนามรบนี้ เพื่อให้ตนเองมีความพร้อมและได้เปรียบในการรบ รวมถึงป้องกันตนเองจากการโดนโจมตี ยกตัวอย่าง กองทัพสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันก็ได้ขยายหน่วยงานทางทหารออกมาเป็นกองทัพไซเบอร์ และกองทัพอวกาศ เรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงรัสเซีย และจีน เป็นต้น
หนึ่งในปัญหาสำคัญของเรื่องนี้ คือ ความเป็น ‘สุญญากาศทางกฎเกณฑ์’ ของโดเมนทั้งสอง ที่มนุษย์ยังไม่ได้มานั่งคุยกันและตกลงร่วมกันว่าจะเอาอย่างไร จะทำอย่างไร และจะอยู่ร่วมกันอย่างไรในโลกของไซเบอร์และอวกาศ ต่างจากการรบมิติอื่นๆ ที่มีการตกลงร่วมกันของมนุษยชาติภายหลังสงคราม ทำให้มีกฎเกณฑ์และระเบียบร่วมกันอยู่บ้าง เช่น ว่าจะรบกันอย่างไร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เป็นต้น
สุญญากาศทางกฎเกณฑ์ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทั้งด้านความปลอดภัย และด้านความร่วมมือ จนนำไปสู่การแข่งขันกันของประเทศที่มีศักยภาพอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและยึดพื้นที่ที่ยังไร้การควบคุมดังกล่าว เพราะทรัพยากรทั้งด้านไซเบอร์และอวกาศก็มีอยู่อย่างจำกัด ใครยึดได้ก่อนก็ได้เปรียบ
นี่คือภาพหยาบๆ ของ 5 โดเมนทางการรบ ที่พูดถึงกันอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันและอนาคต การมองแค่ 5 โดเมนทางการรบ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่โดเมนทางการรบจะถูกพัฒนาและขยายตัวออกไปอีก
โลกใบนี้อาจไปถึงจุดที่มีสนามรบทั้งหมด 7 โดเมน ในอนาคต?
แล้วอีก 2 โดเมนคืออะไร? คำตอบก็คือ โดเมนทาง ‘การเมือง’ และ ‘เศรษฐกิจ’ นั่นเอง
เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?
เพราะปัจจุบัน ‘การเมือง’ โดยเฉพาะการโจมตีทางการเมืองระหว่างรัฐ ด้วยวิธีการแทรกแซงข้ามรัฐ เพื่อหวังผลทางการเมืองนั้นดูท่าจะมีมากขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีต่างๆ จนมองได้ว่าอาจยกระดับขึ้นจากในอดีตที่เป็นเพียงประเด็นปัญหา ไปสู่ความเป็นหนึ่งใน ‘สนามรบ’ อย่างเต็มตัว
ยกตัวอย่างเช่น การพยายามดิสเครดิตรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามโดยใช้เครื่องมือใหม่ๆ ทำให้เกิดการต่อต้านภายในประเทศ จนนำไปสู่ความสั่นคลอนทางการเมือง และนำไปสู่ความได้เปรียบต่อรัฐอื่นในประเด็นที่ต้องการแข่งขันหรือในความขัดแย้ง ดังที่เกิดขึ้นหลายครั้งในกรณีของยูเครนและรัสเซีย รวมไปจนถึงกรณีของผู้นำกัมพูชาที่ปล่อยคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีไทย โดยตั้งใจให้เกิดความสั่นคลอนทางการเมืองของไทย ซึ่งก็ได้ผลในท้ายที่สุด เป็นต้น ซึ่งสนามรบทางการเมือง ยังรวมไปถึงการสร้างพรรคพวก การสร้างภาพ และการดิสเครดิตกันระหว่างประเทศ เพื่อช่วงชิงการสนับสนุน และความได้เปรียบในเวทีระหว่างประเทศอีกด้วยเช่นกัน
ในอดีต เรื่องพวกนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมหรือเทคนิคในการรบที่ทำกันอย่างแพร่หลายในยามสงคราม เช่น การทำโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) การปฏิบัติการด้านข่าวสาร (Informational Operation) หรือการปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological Operation) เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ที่ใหม่คือการทำกิจกรรมเหล่านี้ผ่านพลังของเทคโนโลยีสมัยใหม่ จนทำให้ผลกระทบไม่ได้มีอยู่ในวงจำกัดเหมือนแต่ก่อน แต่ส่งผลกระทบได้ถึงระดับระหว่างประเทศได้โดยง่าย และด้วยผลลัพธ์ที่มีผลกระทบอย่างสูง การกลายเป็นอีกหนึ่งใน ‘สนามรบ’ จึงมีความเป็นไปได้ เพราะง่าย ต้นทุนต่ำ แต่นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การมองประเด็นนี้แบบยกระดับขึ้นจะเป็นแนวทางที่ทำให้มองเห็นปัญหานี้ชัดเจนมากขึ้น แทนที่จะเก็บไว้เป็นเพียงหนึ่งในเทคนิคทางการรบ หรือประเด็นในเงามืดเบื้องหลังความขัดแย้งเท่านั้
ในอีกโดเมนหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือ มิติด้าน ‘เศรษฐกิจ’
ในมิตินี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมาย เพราะเห็นชัดแบบเต็มตาแล้วในปัจจุบัน ว่าเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในเครื่องมือและสนามรบระหว่างประเทศไปแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะภาพของสงครามการค้าและการใช้เพดานภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กันระหว่างรัฐ หรือแม้แต่การพยายามจัดระเบียบโลกภายใต้ภาวะที่ผันผวน ในปัจจุบันและอนาคต เศรษฐกิจจึงไม่ใช่แค่เทคนิคหนึ่งที่ใช้ภายใต้ความขัดแย้งอีกต่อไป แต่อาจกลายเป็นหนึ่งในสนามรบสำคัญที่มีบทบาทอย่างมาก ที่อุบัติขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ มิตินี้จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เมื่อโลกไม่สามารถตัดขาดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีได้ เทคโนโลยีจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาของชาติ ทั้งด้านเศรษฐกิจรวมถึงการทหาร เมื่อสองสิ่งนี้แยกกันไม่ขาด การต่อสู้กันในสนามรบด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่แค่การสร้างฐานะอีกต่อไป แต่จะโยงไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและการทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้การต่อสู้กันในสนามรบทางเศรษฐกิจทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจไปได้ถึงจุดที่กลายเป็นสนามรบที่ผสมผสานทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ไซเบอร์ อวกาศ และการทหารแบบดั้งเดิม
จะเห็นได้ว่า การขยายตัวของสนามรบ เกิดจากปัจจัยสำคัญ คือ วิวัฒนาการของมนุษย์ ทั้งในด้านของบริบทระหว่างประเทศและเทคโนโลยี ซึ่งในแต่ละมิติล้วนประกอบไปด้วย 2 ด้านที่สำคัญ คือด้านการรุกและรับ
ดังนั้น หากมองในสมมติฐานที่ว่า โลกใบนี้จะไม่ได้มีแค่ 5 มิติทางการรบเท่านั้น แต่จะกลายเป็น 7 มิติในอนาคต ดังที่กล่าวมา การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือทั้งด้านการรุกและรับของชาติต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาตามไปด้วย ซึ่งหัวใจสำคัญของสนามรบ 7 มิติดังกล่าว อยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่า “การรบจะไม่ได้จำกัดอยู่ที่ทหารหรือกองทัพ” อีกต่อไป แต่จะต้องรวบถึงการทำงานทั้งหมดของรัฐที่จะต้องตระหนักและเริ่มพัฒนาบทบาทของตนให้พร้อมทั้งรุกและรับในสนามรบที่นอกเหนือจากบทบาทของทหาร
กล่าวได้ว่า อนาคตข้างหน้า ‘นักรบ’ อาจไม่ได้จำกัดอยู่ที่ทหารอีกต่อไป แต่อาจจำเป็นต้องรวมถึงกระทรวงอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ที่จะต้องกลายเป็นนักรบในแนวหน้า ที่ต้องเตรียมตั้งรับและตอบโต้ไม่ต่างจากทหารในกรมกอง และอาจจะต้องอาศัยภาคเอกชนและประชาชนด้วยเช่นกันในการเคลื่อนองคาพยพของชาติให้เกิดความพร้อมไปด้วยกัน
การจัดหน้าที่ของหน่วยงาน โดยติดป้ายว่า ‘หน่วยงานความมั่นคง’ โดยหมายถึง ทหารหรือตำรวจ อาจกลายเป็นเรื่องล้าสมัย และไม่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องมีกลไกในการพัฒนาแบบใหม่ที่ทำให้ทุกหน่วยงาน เป็นหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมด แต่อาจต่างกันที่จุดโฟกัสเท่านั้น นี่เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่นักคิด นักนโยบาย นักปฏิบัติ และประชาชนทุกคน ที่จะต้องรีบคิด รีบปรับตัว เพื่อให้พร้อมกับอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งไม่แน่ ว่าอาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ภายใต้โลกที่ผันผวนรายวัน…เช่นนี้
ภาพ: DR MANAGER via ShutterStock