ทำไมต้องทำประชามติยกเลิก MOU 43-44 ในทางปฏิบัติสามารถยกเลิกบันทึกความเข้าใจสองฉบับนี้ได้จริงหรือไม่ หากยกเลิกแล้วใครได้ใครเสีย?
ประเด็นเรื่องการแก้ไขข้อพิพาทกับกัมพูชาโดยการทำประชามติยกเลิก MOU 43 และ 44 เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล
แต่ประเด็นนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเมื่อนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้ว่าในการเลือกตั้งครั้งถัดไปภายหลังจากการยุบสภา จะต้องใช้บัตร 4 ใบ ได้แก่
- ใบที่ 1 เลือก สส.เขต
- ใบที่ 2 เลือก สส.บัญชีรายชื่อ
- ใบที่ 3 ออกเสียงประชามติแก้รัฐธรรมนูญ
- ใบที่ 4 ออกเสียงประชามติยกเลิก MOU ระหว่างไทยกับกัมพูชา
นายอนุทิน ระบุว่า การทำประชามติเรื่องนี้ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อเป็นการให้เกียรติประชาชน ไม่ใช่การโยนภาระให้ประชาชน เนื่องจากเรื่องนี้อาจมีความแตกต่างทางความคิดและความสนใจที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ
MOU 2543-2544
MOU 2543 หรือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มีเป้าหมายในการจัดทำกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อกำหนดเส้นเขตแดน โดยอ้างอิงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907
ส่วน MOU 2544 หรือ บันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีป ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อร่วมกันสำรวจและพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม (Joint Development Area: JDA)
ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะแผนที่แนบท้ายที่กัมพูชาลากเส้นอ้างสิทธิเข้าถึงเกาะกูดของไทย ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการตีความที่ขัดต่อกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ
ข้อถกเถียงตลอดกว่า 20 ปี
แน่นอนว่าวิธีการทางการทูต การเจรจา ทั้งทวิภาคี และการประกาศถ้อยแถลงบนเวทีนานาชาติยังเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่แนวทางที่พรรคภูมิใจไทยพยายามเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ก่อนมาเป็นรัฐบาลคือการยกเลิก MOU 2543 และ 2544 ท่ามกลางเสียงที่ทั้งสนับสนุนและคัดค้านในเวลาเดียวกัน
กว่า 20 ปีที่ผ่านมา MOU ทั้งสองฉบับกลายเป็นประเด็นข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่อง กลุ่มการเมืองและประชาชนสายอนุรักษนิยมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับเพราะมองว่าไทยกำลังเสียเปรียบกัมพูชาที่เป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงมาโดยตลอด ไปจนถึงกังวลเรื่องการสูญเสียดินแดน ขณะที่อีกฝ่ายมองว่า MOU จะเป็นเกราะป้องกันที่กดดันให้กัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาได้
กลุ่มการเมืองและประชาชนสายอนุรักษนิยมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับเพราะมองว่าไทยกำลังเสียเปรียบ เนื่องจากกัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง และอาจนำไปสู่การสูญเสียดินแดน
ฝ่ายสนับสนุน มองว่า MOU คือกลไกบังคับที่ทำให้กัมพูชาต้องเข้าสู่โต๊ะเจรจา ไม่สามารถเลี่ยงการหารือได้
แต่ในทางปฏิบัตินั้นสามารถยกเลิกบันทึกความเข้าใจสองฉบับนี้ได้จริงหรือไม่?
มุมมองนักวิชาการ
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยกับทีมข่าว THE STANDARD ว่า เงื่อนไขและความท้าทายของการทำประชามติในเรื่องที่ซับซ้อนแบบนี้ จำเป็นต้องให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในข้อดีข้อเสียของ MOU 43 และ 44 อย่างลึกซึ้งและรอบด้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการให้ข้อมูลเป็นอย่างมาก
เพราะในมุมของประชาชนทั่วไปอาจไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเพียงพอ ว่า MOU ทั้ง 2 ฉบับคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร เนื่องจาก MOU เป็นเรื่องเทคนิคทางกฎหมายระหว่างประเทศ การทหาร และเขตแดน ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ประกอบกับถ้าหากทำประชามติจริงก็มีข้อกังวลว่าประชาชนอาจใช้อารมณ์และความรู้สึกที่ไม่พอใจกัมพูชาในการตัดสินใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การลงมติให้ยกเลิก โดยไม่ได้พิจารณาข้อดีข้อเสียทางเทคนิคอย่างรอบคอบ
อาจารย์ดุลยภาคมองว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ควรเป็นในรูปแบบของ ‘ประชาพิจารณ์’ ซึ่งเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนมากกว่าการทำประชามติที่ให้ประชาชนลงคะแนนเพื่อตัดสินใจว่าอยากยกเลิกหรือไม่?
ซึ่งขณะนี้ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา MOU 2543-2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภากำลังศึกษาประเด็นดังกล่าว และจะจัดทำรายงานภายในเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินสำคัญที่ทำให้เห็นหลักฐานเชิงประจักษ์และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของ MOU ทั้ง 2 ฉบับ
แต่อย่างไรก็ตาม อาจารย์ดุลยภาคมองว่า ระยะเวลา 3 เดือนนั้นสั้นเกินไปและไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจว่าจะให้ยกเลิกข้อตกลงที่ใช้มานานกว่า 20 ปี หรือไม่ ดังนั้นจำเป็นต้องมีกระบวนการศึกษาที่ยาวนานและรอบคอบกว่านี้
มุมมองนักการทูต
ก่อนหน้านี้มีความเห็นจากนายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายว่า MOU 43-44 เป็นเพียงกรอบเจรจาไม่ใช่สัญญาเสียดินแดน หากไทยยกเลิกจะเท่ากับปลดพันธกรณีให้กัมพูชาและสุดท้ายหากกลับมาเจรจากันใหม่ก็ต้องจัดทำกรอบลักษณะเดียวกันขึ้นมาอีก
แนวทางการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ
ทั้งนี้ปัญหาคือ MOU ทั้งสองฉบับ ไม่ได้มีข้อกำหนดเรื่องการยกเลิกเอาไว้ ทำให้เกิดการตีความทางกฎหมายเป็น 2 แนวทาง
- แนวทางแรก: MOU ไม่ใช่สนธิสัญญาเพราะไม่ผ่านรัฐสภา คณะรัฐมนตรีสามารถยกเลิกฝ่ายเดียวได้
- แนวทางที่สอง: MOU เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐที่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ การยกเลิกจึงต้องได้รับความยินยอมจากกัมพูชาก่อน
ในขณะที่ล่าสุดวันนี้ (30 กันยายน 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบ และต้องรอผลการศึกษาก่อน หากผลออกมามีความชัดเจนว่าไม่ต้องศึกษาก็อาจจะยกเลิก MOU ได้โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในกรณีที่ผลการศึกษาออกมาว่า MOU ไม่ได้ประโยชน์กับประเทศไทย ทำให้ประเทศไม่ได้เปรียบ ซึ่งส่วนตัวของนอายอนุทินเองมองว่าควรจะยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับนี้
ตอนนี้จึงเหมือนอยู่บนทางสองแพ่งระหว่างการที่ต้องรีบตัดสินใจเนื่องจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาที่ร้อนแรงกับการที่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอจากการศึกษาในระยะเวลาอันสั้น
โจทย์ของรัฐบาลคือด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 3-4 เดือน จะทำอย่างไรไม่ให้ไทยเดินเกมพลาด และได้ประโยชน์กับไทยมากที่สุด