สรุปคำตัดสิน
เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568 ที่เพิ่งผ่านมา ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาตัดสินคดีระหว่างสภากาชาดไทยกับคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 1961/2568) ให้สภากาชาดไทยเป็นฝ่ายชนะคดี ที่ปัญหาข้อพิพาทเกิดจากคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ หรือ ‘วลพ.’ สั่งให้สภากาชาดไทยต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการรับบริจาคเลือดใหม่ คำสั่งของ วลพ. มีสาระสำคัญ คือ ให้สภากาชาดไทยปรับนโยบายการรับบริจาคเลือดจากที่กำหนดความเสี่ยงตามเพศหรือเพศสภาพมาเป็นการพิจารณาจากพฤติกรรมเสี่ยง และให้ประชาสัมพันธ์นโยบายการรับบริจาคเลือดจากทุกเพศด้วย
แม้ในคดีดังกล่าว ศาลปกครองกลางจะกล่าวว่า สภากาชาดไทยละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เนื่องจากสภากาชาดออกบัตรให้แก่ผู้บริจาคโลหิตซึ่งเป็น LGBTQ+ ที่เป็นต้นเรื่องไปร้องเรียนต่อ วลพ. ว่าบัตรดังกล่าวมีนัยตัดสิทธิบริจาคโลหิตเป็นการถาวรตลอดชีวิต แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในคำพิพากษา เพราะประเด็นใหญ่ของคำตัดสินคือปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการรับบริจาคเลือดของสภากาชาดไทยที่ปฏิเสธการรับเลือดของกลุ่ม MSM (Men Who Have Sex With Men) อันนำไปสู่การร้องเรียนต่อ วลพ. และ วลพ. มีคำสั่งให้สภากาชาดไทยต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย แต่ท้ายที่สุด ในศาลปกครองกลางซึ่งเป็นศาลชั้นต้นของคดีปกครอง สภากาชาดไทยเป็นผู้ชนะคดี
คดีนี้ วลพ. ยังคงมีสิทธิพิจารณาว่าจะอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ต่อไป
ส่วนที่ วลพ. แพ้สภากาชาดไทยในประเด็นไม่ให้โอกาสสภากาชาดไทยได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานนั้น ผู้เขียนจะไม่ขออภิปรายในที่นี้ เพราะต้องการนำเสนอในประเด็นนโยบายเกี่ยวกับการรับบริจาคเลือดเป็นสำคัญ
HIV MSM การปฏิเสธเลือด และความเปลี่ยนแปลง
HIV เริ่มระบาดและเป็นวิกฤตในระดับโลกช่วงยุค 1980s โดยที่เลือดกับ HIV เป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เนื่องจาก HIV สามารถติดต่อแพร่ทางเลือดได้ ปัญหาที่สร้างความปั่นป่วนให้กับวงการสาธารณสุขที่อื้ออึงระดับโลก คือ การติดเชื้อ HIV ของผู้ป่วยที่รับเลือดจำนวนหลักพันรายที่มีการปนเปื้อนของเชื้อในประเทศญี่ปุ่นช่วงยุค 1980s ซึ่งหากย้อนนับจากปัจจุบันก็หลายสิบปีแล้ว
ความรู้สึกหวาดกลัวและความระมัดระวังการปนเปื้อนของเชื้อ HIV ในเลือดยังคงมีอยู่ถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องเลือดถูกผูกโยงกับกลุ่ม ‘ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย’ หรือ MSM ตั้งแต่ช่วงต้นของวิกฤติการระบาดของ HIV เนื่องจากการค้นพบตั้งแต่ระยะแรกของการระบาดว่า ผู้ติดเชื้อ HIV มักอยู่ในกลุ่มชายที่เป็น LGBTQ+ ปรากฏการณ์ที่เห็นตามมาคือ นโยบายเกี่ยวกับการรับบริจาคเลือดของหลายประเทศในอดีตเริ่มต้นจากการปฏิเสธเลือดที่บริจาคโดยผู้ชายซึ่งเป็น MSM โดยไม่ได้พิจารณาถึงพฤติกรรมเสี่ยงของบุคคลแต่ละราย
ถึงกระนั้น วิธีคิดที่เริ่มต้นจากการปฏิเสธเลือดของ MSM อย่างสิ้นเชิงและตลอดชีวิตของผู้เป็น MSM ก็ยังคงอยู่ในหลายประเทศจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ไทย จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน
แต่เรื่องนี้ในระดับสากลมีความเปลี่ยนแปลง ภายหลังที่นโยบายการปฏิเสธเลือดจากกลุ่ม MSM เป็นหลักเกิดขึ้น ต่อมาเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากนโยบายดังกล่าวถูกมองว่าเป็นระบบคำถามคัดกรองที่อาศัยการกำหนดด้วย ‘กลุ่มลักษณะทางเพศ’ (based on gender) ของผู้คน โดยละเลยต่อเรื่อง ‘พฤติกรรมเสี่ยงแต่ละราย’ หรือ individual risk
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นและมี 2 รูปแบบ ได้แก่
- การกำหนดเวลาทอดออกไป (deferral) สำหรับการบริจาคโลหิตของ MSM และ
- การคำนึงถึงพฤติกรรมเสี่ยงแต่ละราย (individual risk)
หลังจากที่นโยบายการปฏิเสธเลือดจาก MSM แบบตลอดชีวิต (lifetime ban) สร้างปัญหาวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในระยะหลัง เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ศักยภาพในการตรวจพิสูจน์การปนเปื้อนของเชื้อที่เพิ่มขึ้น และหลักสิทธิมนุษยชนที่ต่อต้านการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม จึงทำให้ในระยะหลังได้มีการเปลี่ยนนโยบายเป็นการกำหนดเวลาทอดออกไป (deferral) เช่น 12 เดือน 6 เดือน หรือ 3 เดือนนับจากวันที่มีกิจกรรมทางเพศของ MSM ถึงจะบริจาคได้
อย่างไรก็ตาม การกำหนดเวลาทอดออกไปแม้เพียงชั่วคราว (temporary deferral) ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปอีก เพราะไม่ได้คำนึงถึง ‘พฤติกรรมเสี่ยงแต่ละราย’ (individual risk) อย่างแท้จริง หากแต่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้มีอัตลักษณ์ทางเพศที่เป็น MSM แบบ ‘เหมารวม’
ปัจจุบันพบว่า ทิศทางล่าสุดของโลกเกี่ยวกับการบริจาคเลือดไปในทิศทางที่มีเป้าหมายอยู่ที่การพิจารณาโดยคำนึงถึงพฤติกรรมเสี่ยงแต่ละราย ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศชาย เพศหญิง หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบใด ก็ให้พิจารณาจากความเสี่ยงของแต่ละบุคคลซึ่งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ HIV ทั้งนี้ เป้าหมายดังกล่าวมีขึ้นเพื่อลดอคติทางเพศหรือยกเลิกการตีตราเหมารวมกลุ่มบุคคลโดยไม่เป็นธรรม และมุ่งเน้นการพิจารณาจากความเสี่ยงเป็นสำคัญ
ประเทศอังกฤษเป็นตัวอย่างสำคัญที่ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่เริ่มต้นจากการปฏิเสธเลือดจาก MSM แบบตลอดชีวิต แล้วเปลี่ยนในปี 2017 กำหนดเวลาทอดออกไป 3 เดือนถึงจะยอมให้ MSM บริจาคเลือดได้ จนล่าสุดเมื่อปี 2021 ประเทศอังกฤษได้ยกเลิกการห้ามรับเลือดจาก MSM มาเป็นการพิจารณาจากพฤติกรรมเสี่ยงแต่ละราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นทิศทางที่มีความเป็นกลางทางเพศ (gender-neutral) เนื่องจากทุกเพศล้วนอาจมีความเสี่ยงได้ด้วยกันทั้งสิ้น
หลายประเทศก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกับอังกฤษ เช่น ฝรั่งเศสในปี 2022 เยอรมนีในปี 2023 หรืออเมริกาที่เห็นทิศทางนี้ตั้งแต่ปี 2023 ปีเดียวกับเยอรมนี ที่น่าสนใจคือ สภากาชาดอเมริกัน (American Red Cross) ก็ยืนยันที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายไปในทิศทางดังกล่าว ซึ่งดูจะแตกต่างจากสภากาชาดไทย
แม้กระทั่งแคนาดาก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ผู้เขียนพบในคำพิพากษาว่า สภากาชาดไทยกล่าวอ้างคำตัดสินศาลสูงออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ที่เคยปฏิเสธการบริจาคเลือดของ MSM ว่ากระทำได้ แต่ผู้เขียนขอเรียนว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ครบถ้วนถูกต้องแท้จริงตามที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน เนื่องจากคำตัดสินศาลสูงออนตาริโอ (Ontario Superior Court) ซึ่งตัดสินคดีระหว่าง Freeman vs. Canadian Blood Services (CBS) and the Attorney-General มีผลคดีเป็นไปตามที่สภากาชาดไทยได้อ้าง แต่คดีนี้ตัดสินเมื่อปี 2010 หรือประมาณ 15 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน Canadian Blood Services (CBS) หรืออาจจะเรียกได้ว่าศูนย์บริการโลหิตแคนาดาได้เปลี่ยนนโยบายจากการพิจารณาเจาะจงจากเพศสภาพมาเป็นการพิจารณาจากพฤติกรรมความเสี่ยงทางเพศแทนตั้งแต่ปี 2022 เป็นที่เรียบร้อย
บทส่งท้าย
แม้สภากาชาดไทยจะไม่ใช่หน่วยงานของรัฐในระบบกฎหมายไทยด้วยเหตุที่ไม่มีกฎหมายกำหนดสถานะให้เป็นหน่วยงานของรัฐก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การดำเนินการในฐานะองค์การสาธารณกุศลอย่างสภากาชาดไทยเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขของรัฐและผู้คนอย่างกว้างขวาง เพราะรับหน้าที่ดูแลกิจการด้านเลือดในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาวะการสู้รบในทางระหว่างประเทศที่เป็นจุดกำเนิดของสภากาชาดไทยนั้นได้ยุติลงไปนานมากแล้ว แต่ประเทศไทยก็มิได้มองถึงการกำหนดให้มีหน่วยงานของรัฐซึ่งจะทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดไว้เป็นเอกเทศ หรือปรับสถานะให้สภากาชาดไทยเป็นส่วนหนึ่งในฐานะหน่วยงานของรัฐ ซึ่งในบางประเทศบทบาทนี้ไม่ได้อยู่ที่สภากาชาด แต่อยู่ที่หน่วยงานของรัฐโดยตรง
ข้อบ่งชี้สำคัญเกี่ยวกับการกำหนดบทบาทดังกล่าวในประเทศไทย คือ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2508 ที่เห็นชอบโครงการจัดตั้งศูนย์บริการโลหิตสภากาชาดไทยตามที่กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ณ ขณะนั้นเสนอ (กระทรวงนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2506 สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ และถูกยุบในปี พ.ศ. 2515) โดย “มอบให้” สภากาชาดไทยรับไปดำเนินการ
นอกจากนั้น แม้สภากาชาดไทยจะไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ แต่ก็มีฐานะเป็น ‘หน่วยรับงบประมาณ’ ที่ได้รับเงินแผ่นดินจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีไปเพื่อการดำเนินงาน อย่างปีล่าสุด พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ก็ให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายของสภากาชาดไทยไว้เป็นจำนวนเก้าพันสามร้อยกว่าล้านบาท (โปรดดูในราชกิจจานุเบกษา หน้า 712 ที่ระบุตัวเลขไว้ 9,375,278,100 บาท) ซึ่งหลายหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้รับงบประมาณที่ตั้งให้เท่านี้
นโยบายเกี่ยวกับการปฏิเสธเลือดของ MSM ในประเทศไทยและการดำเนินการของสภากาชาดไทย ควรมีการพิจารณาทบทวน ตราบใดที่คำถามในระบบคัดกรองยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้บุคคลบริจาคเลือด ดังนั้น จึงควรคำนึงถึงการไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่ธรรมที่เกิดขึ้นจากการเหมารวมกลุ่มบุคคล โดยมองข้ามพฤติกรรมความเสี่ยงของบุคคลแต่ละราย ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีเพศสภาพใด ข้อคำนึงนี้เป็นเรื่องที่ต้องตระหนักว่า เป็นทิศทางใหม่ของกระแสโลกที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV และเพื่อความปลอดภัยในเลือดที่ได้รับบริจาคจากคนทุกเพศสภาพอย่างแท้จริง
อย่างน้อย รัฐสภาในฐานะผู้จัดสรรเงินแผ่นดินให้สภากาชาดไทยผ่านพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นจำนวนมหาศาล กับรัฐบาลในฐานะผู้รับผิดชอบต่อการสาธารณสุข และเป็นผู้มอบหมายให้ภารกิจด้านเลือดระดับชาติอยู่กับสภากาชาดไทยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2508 ก็ควรไม่เพิกเฉยต่อประเด็นนี้