สถานการณ์ค่าเงินบาทจากต้นปีนี้ถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 8% จนกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก โดยดัชนีค่าเงินบาท (NEER) แข็งค่าเท่ากับช่วงปี 1997 โดยธนาคารไทยพาณิชย์ ชี้ว่ามี 4 ปัจจัยหลักที่มาหนุน
แพทริก ปูเรีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Market Function ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทในช่วงสัปดาห์ก่อนที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวที่ร้อนแรง และแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี โดยดัชนีค่าเงินบาท (NEER) แข็งค่าเท่ากับช่วงปี 1997 ระบุว่า แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง แต่การแข็งค่าของเงินบาทไทยกลับมีความผันผวนสูงและรวดเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
โดยสรุปมีปัจจัยหลัก 4 ประการที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
- ทองคำ (Gold) การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมีความสัมพันธ์ (High Correlation) กับค่าเงินบาท โดยมีแนวโน้มว่า ทองคำขึ้น บาทแข็งค่าขึ้น หากย้อนไปดูในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า การส่งออกทองคำของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 4-5 เท่า ความสัมพันธ์นี้ยังถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลการคิดวิเคราะห์ของกองทุนและนักลงทุนด้วย
- เงินทุนไหลเข้า (Capital Inflow) หลังจากที่เคยเป็น Capital Outflow ในช่วงปี 2023-2024 ขณะนี้เงินทุนเริ่มกลับมาเป็นบวกและไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ (Bond Market)
นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าหลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ยแล้ว อาจจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้า Emerging Market มากขึ้น ซึ่งไทยอาจได้รับอานิสงส์นี้ อย่างไรก็ตาม โดยนักลงทุนยังคงต้องจับตาดูว่าเป็นการลงทุนจริง หรือเป็นเพียง Hot Money
- Net Errors and Omissions (NEO) ปัจจัยนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางว่าเป็นตัวเลขที่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นค่าอะไรหรือมาจากไหน ธนาคารไทยพาณิชย์เองก็ใช้ NEO ในการติดตามเช่นกัน เนื่องจากยอมรับว่าตัวเลขที่สูงขึ้นนี้มีความสัมพันธ์กับการแข็งค่าของเงินบาท แม้ NEO จะสูงขึ้นมา 2 ปีแล้ว แต่การแข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วงหลังอาจหมายความว่าตัวเลขมีการสูงขึ้นอีกในไตรมาสที่ผ่านมา
- บัญชีเดินสะพัด (Current Account) ในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน ขณะนี้บัญชีเดินสะพัดของไทยกลับมาเป็นบวกแล้ว ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากตัวขับเคลื่อนสำคัญคือ การส่งออก และการท่องเที่ยว การเป็นบวกนี้ส่งผลให้มี Net Capital Inflow เข้ามาในประเทศและอาจกดดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น
นอกจากปัจจัยภายในแล้ว การอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐฯ (Dollar Index) เกือบ 10% จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแอลง การรอการลดดอกเบี้ยของเฟด และบทบาทของประเด็น Trade War ก็เป็น Global Play ที่ส่งผลกระทบให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 8%
แนะภาคธุรกิจรับมือผลกระทบจากค่าเงินบาทผันผวน
แพทริก ระบุต่อว่า แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท ) จะมีการดูแลค่าเงินบาทในสถานการณ์ที่ผันผวนสูง แต่ก็ต้องทำตามเกณฑ์เพื่อไม่ให้ถูกจัดอยู่ในหมวด Currency Manipulator การที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วนี้ส่งผลให้เกิดความท้าทายอย่างมาก เนื่องจาก GDP Growth ของไทยยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับการแข็งค่าของค่าเงิน ทำให้ประเทศไทยอาจมีการแข็งค่าเกินไปจนกระทบต่อเศรษฐกิจได้
- ผู้ส่งออก ได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากบางรายไม่สามารถป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ได้ทันสถานการณ์ ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และจำเป็นต้องให้หน่วยงานเข้ามาดูแลเพื่อให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม
- ผู้นำเข้า ได้รับผลดีและถือเป็นโอกาสที่ดีในการนำเข้าสินค้า อุปกรณ์ และเครื่องจักรในราคาที่ดี
- นักลงทุนต่างประเทศ การลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ถือเป็นโอกาสที่เห็นได้ชัดเจน
มองค่าเงินบาทเสี่ยงแข็งค่า แต่ไม่หลุด 30 บาท
- ค่าเงินบาท คาดว่าจะยังคงเทรดอยู่ในกรอบระหว่าง 31-32 บาท โดยให้แนวรับที่น่าสนใจไว้ที่ประมาณ 31.50 บาท และเชื่อมั่นว่า ค่าเงินบาทไม่น่าจะหลุดระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
- ดอลลาร์อินเด็กซ์ที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 97 อาจมีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีกเล็กน้อย 1-2% ไปอยู่ที่ระดับ 95
- พันธบัตรไทย 10 ปี ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ 1.2% กว่า และมีโอกาสเทรดอยู่ในช่วง 1.2 – 1.5%
แพทริก ได้เน้นย้ำว่า เนื่องจากการผันผวนของค่าเงินมีความรุนแรงและรวดเร็ว จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็น SME หรือรายใหญ่ มุ่งเน้นที่ธุรกิจพื้นฐาน (Fundamental) และควรใช้เครื่องมือทางการเงินในการป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงินให้มากขึ้น เช่น FX Spot, Forward, หรือ FX Option รวมถึงการใช้ Digital Platform อย่าง SCB FX Online
สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินดอลลาร์หรือลงทุนใน FCD (Foreign Currency Deposit) โดยปัจจุบันคนไทยยังมีแนวโน้ม Home Bias หรือลงทุนในประเทศที่ค่อนข้างสูง และการแปลงเงินบาทไปเป็นดอลลาร์เพื่อลงทุนยังถือว่ามีปริมาณน้อยอยู่
ดังนั้น แนะนำให้ทยอยสะสมค่าเงินดอลลาร์ต่อไป เป็นการกระจายความเสี่ยงด้านค่าเงินในอนาคต ในอนาคตอันใกล้นี้ เชื่อว่าจะมีเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ