×

ชำแหละข้อเท็จจริงสารเร่งเนื้อแดง! ภัยเงียบคุกคามสุขภาพคนไทยที่อาจซ่อนอยู่ในเนื้อหมูนำเข้า [PR NEWS]

โดย THE STANDARD TEAM
23.09.2025
  • LOADING...
silent-threat-

ดูเหมือนว่าประเด็น ‘สารเร่งเนื้อแดง’ ในเนื้อหมูถูกหยิบมาพูดถึงอีกครั้ง หลังกระแสข่าวที่อาจมีการนำเนื้อหมูจากสหรัฐฯ เข้ามาจำหน่ายในประเทศ

 

ที่ผ่านมา ประเทศไทยแบนการนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์หมูจากสหรัฐฯ จากประเด็นการใช้สารเร่งเนื้อแดงมาโดยตลอด ทางสหรัฐฯ เองก็พยายามกดดันให้ไทยเปิดตลาดเช่นกัน 

 

ประเด็นนี้เป็นข้อถกเถียงกันมาตั้งแต่ปี 2560 จนเกิดการรวมตัวแสดงจุดยืนต่อต้านของกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรในไทย แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกว่าอาจจะไม่มีนำเข้าเนื้อหมูและและผลิตภัณฑ์หมูจากสหรัฐฯ เด็ดขาด เนื่องจากปัจจุบันการผลิตหมูในไทยเหลือจนสามารถส่งออกได้ ไม่ขาดแคลน 

 

แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ผู้บริโภค ผู้เลี้ยงหมู และเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทานวัตถุดิบอาหารสัตว์ของไทยก็น่าจะยังไม่คลายกังวล 

 

อีกทั้งยังมีข้อมูลบางอย่างที่อาจทำให้ผู้บริโภคมองข้ามข้อเท็จจริงของอันตรายจากการใช้สารเร่งเนื้อแดง ทั้งข้อโต้แย้งว่าปริมาณสารเร่งเนื้อแดงที่สหรัฐฯ อนุญาตให้ตกค้างในเนื้อหมูนั้นมีเพียงเล็กน้อยเพราะมีการควบคุม และอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ตามมาตรฐานสากล หรือประเด็นเรื่องราคาที่ถูกลง จะช่วยให้ผู้บริโภคลดต้นทุนค่าครองชีพได้ 

 

คำถามคือ เรากล้าเสี่ยงกินหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงมั้ย? และเรากล้าให้คนที่เรารักกินหมูที่มีสารเคมีปนเปื้อนแน่หรือ?  

 

 

สารเร่งเนื้อแดงคืออะไร? อันตรายขนาดไหน? 

 

‘สารเร่งเนื้อแดง’ คือสารสังเคราะห์ในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (Beta-Agonist) เป็นกลุ่มยาที่นำมาใช้พ่นหลอดลมสำหรับคนที่เป็นหอบหืด ภูมิแพ้ เพื่อช่วยขยายหลอดลม แต่เมื่อนำยาไปผสมในอาหารสัตว์ที่ใช้เลี้ยงหมู วัว และไก่งวง จะมีฤทธิ์เสริมการเจริญเติบโตของเซลล์กล้ามเนื้อ ด้วยการเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อ ลดการสะสมไขมันในเนื้อเยื่อ ทำให้สัตว์โตเร็ว มีน้ำหนักซากดี ได้เนื้อแดงมาก 

 

หากหมู วัว และไก่ ได้รับสารเคมีในปริมาณสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้สัตว์เกิดความเครียด เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตก็มี ยิ่งไปกว่านั้นสารเคมีจะสะสมในเนื้อเยื่อ ฝั่งผู้บริโภคเอง ถ้ากินเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ที่มีสารตกค้าง อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ, ใจสั่น, ปวดศีรษะ และคลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน สตรีมีครรภ์ เด็ก และผู้สูงอายุ จะยิ่งเสี่ยงขึ้นไปอีก

 

ต่อให้ปรุงสุกก็ไม่ปลอดภัย เพราะข้อมูลจากการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์เรื่อง ‘Effect of different cooking methods on ractopamine residues in beef’ ได้ทดสอบความคงตัวของสารแรคโตพามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ด้วยกระบวนการให้ความร้อนหลายแบบ พบว่าสารเร่งเนื้อแดง มีความคงตัวสูงและไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนจากการปรุงอาหาร 

 

 

สถานการณ์สารเร่งเนื้อแดงในไทย 

 

ในประเทศไทย ‘สารเร่งเนื้อแดง’ ถูกจัดให้เป็นวัตถุห้ามใช้ผสมในอาหารสัตว์มาเป็นเวลานาน มีการขับเคลื่อนข้อกฎหมายและนโยบายอย่างจริงจังโดย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผ่านมาตราการเชิงรุก โดยเฉพาะการเปิดตัว ‘ปฎิบัติการอวสานสารเร่งเนื้อแดง’ เพื่อกำจัดสารเร่งเนื้อแดงให้หมดไปจากห่วงโซ่การผลิตปศุสัตว์ ตั้งแต่การตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงที่เป็นต้นตอของปัญหา ไปจนถึงเฝ้าระวังโรงงานอาหารสัตว์ที่อาจเป็นช่องทางการลักลอบการใช้สารต้องห้าม ครอบคลุมไปถึงจุดจำหน่ายและโรงฆ่าสัตว์ พร้อมทั้งมีมาตรการลงโทษผู้ที่ลักลอบใช้สารต้องห้ามนี้อย่างจริงจัง

 

จากการสุ่มตรวจปัสสาวะหมูในฟาร์ม พบว่ามีผลเป็นบวกเพียง 0.16% เท่านั้น และมีการรับรองฟาร์มปลอดสารเร่งเนื้อแดงรวมกว่า 5,000 แห่ง 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎหมายควบคุมที่เข้มงวด แต่ยังคงพบการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงอยู่บ้าง โดยมีปัจจัยสำคัญจากแรงจูงใจทางเศรษฐกิจของเกษตรกรที่ต้องการผลิตเนื้อสัตว์ไขมันต่ำและสีแดงสวยเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน การเฝ้าระวังของภาครัฐยังต้องดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งทำให้การตรวจสอบครอบคลุมได้ในบางพื้นที่หรือช่วงเวลาเท่านั้นซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็มีมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค ผ่านเครื่องหมายรับรองสัญลักษณ์ Q รวมถึง ปศุสัตว์ OK ปัจจุบันมีร้านค้าและแหล่งจำหน่ายที่ได้สัญลักษณ์นี้มากถึง 8,000 แห่งทั่วประเทศ ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้ว่าสินค้ามีมาตรฐานฟาร์ม มาจากโรงฆ่าสัตว์ที่ถูกสุขอนามัย และไม่มีสารตกค้าง ตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากแหล่งไหน 

 

 

ในภาวะที่ข้อตกลงระหว่างประเทศยังไม่ชัดเจน ไทยได้แสดงจุดยืนที่แน่วแน่ว่าจะห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยมีการให้ความรู้แก่เกษตรกรถึงอันตรายของสาร การดำเนินมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นในทุกพื้นที่ ทั้งในโรงฆ่าสัตว์ โรงงานอาหารสัตว์ และฟาร์ม เพื่อให้มั่นใจว่าเนื้อหมูไทยปลอดสารเร่งเนื้อแดง 100% และสามารถส่งออกไปยังกว่า 160 ประเทศทั่วโลกได้อย่างมั่นใจอเมริกากินได้ ไม่ได้เท่ากับปลอดภัยเสมอ

 

กับข้อโต้แย้งที่ว่า ปริมาณสารเร่งเนื้อแดงที่สหรัฐฯ อนุญาตให้ตกค้างในเนื้อหมูนั้นมีเพียงเล็กน้อยเพราะมีการควบคุม และอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย 

 

มีความเป็นไปได้ว่านี้อาจเป็นมุมมองและชุดข้อมูลที่มีรากฐานจากหลักการกำกับดูแลเชิงวิทยาศาสตร์ที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ 

 

เนื่องจากสารเคมี ‘แรคโตพามีน’ ซึ่งเป็นสารเร่งเนื้อแดงที่สหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ เป็นสารที่ถูกห้ามใช้กว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย 

 

อีกทั้ง ข้อโต้แย้งนี้ยังขัดแย้งกับนโยบายด้านกฎหมายและสาธารณสุขของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย สหภาพยุโรป และจีน ที่ยึดมั่นใน ‘หลักป้องกันไว้ก่อน’ ซึ่งบังคับใช้นโยบาย ‘ไม่ยอมให้มีสารตกค้างเลย’ (Zero Tolerance) 

 

สำหรับมาตรการความปลอดภัยด้านอาหาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมกำหนดมาตรฐานกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยสู่ระดับสากล ผ่านมาตรฐานโคเด็กซ์ (Codex Alimentarius)  ซึ่งเป็นมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ ที่จัดทำโดยคณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหาร (Codex Alimentarius Commission – CAC) ของ FAO และ WHO โดยมุ่งกำหนดมาตรฐานสากลด้านอาหารต่างๆ เช่น ความปลอดภัย สุขลักษณะ และคุณภาพอาหาร เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศดำเนินไปอย่างเป็นธรรม และเพื่อปกป้องสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลก

 

ในส่วนของประเด็นสารเร่งเนื้อแดง  Codex ได้กำหนดค่า Maximum Residue Limits (MRLs) ซึ่งเป็นค่าปริมาณตกค้างสูงสุดของยาสัตว์ที่สามารถมีได้ในอาหาร โดยอ้างอิงจากค่าปริมาณการบริโภคที่ยอมรับได้ในแต่ละวัน (ADI) ซึ่งประเมินโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญร่วมด้านวัตถุเจือปนอาหารของ FAO/WHO (JECFA) ประเด็นที่ต้องมองให้ลึกคือ ค่ามาตรฐาน MRLs ของ Codex แม้จะออกเป็นเกณฑ์สากล แต่เมื่อมีการค้าระหว่างประเทศ ยังคงต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละประเทศร่วมด้วย เนื่องจากวัฒนธรรมการกิน ปริมาณการบริโภคที่ยอมรับได้ต่อวัน แตกต่างกันไป เช่น อเมริกา กินเนื้อวัวเป็นหลัก ในขณะที่ยุโรปกับเอเซีย รวมถึงประเทศไทยนิยมกินเนื้อหมู โดยเฉพาะคนไทยที่นิยมกินทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมู จึงอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารตกค้างมากกว่า  

 

ยังไม่นับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจและความดันโลหิต เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ การได้รับสารเร่งเนื้อแดงแม้จะปริมาณน้อยนิดก็ตาม ก็มีโอกาสเกิดอันตรายต่อสุขภาพมากกว่า 

 

แม้จะมี ‘ปริมาณเล็กน้อย’ หรือเป็น ‘ปริมาณที่อยู่ในความควบคุม’ ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้บริโภคคลายความกังวลต่อความเสี่ยงที่จะรับสารเร่งเนื้อแดงเข้าสู่ร่างกายได้ 

 

ซึ่งความจริงแล้ว เราไม่ควรกินอาหารที่มีสารปนเปื้อนไม่ว่าจะมีปริมาณเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม 

 

 

ทั้งเสีย ทั้งเสี่ยง 

 

หากในอนาคตยอมให้มีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ แรงกระแทกแรกคือ ความเชื่อมั่นต่อระบบอาหารของไทยทั้งจากผู้บริโภคในประเทศไทยเองไปจนถึงคู่ค้า ที่อาจตั้งคำถามต่อความเคร่งครัดของมาตรฐานไทย ซึ่งย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์และการส่งออกอย่างแน่นอน 

 

การนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารนี้อาจทำลายจุดยืน “Zero Tolerance” ของไทยที่มีมานาน และทำให้การบังคับใช้กฎหมายกับเกษตรกรในประเทศเป็นเรื่องยากและไม่เป็นธรรม เกษตรกรอาจตั้งคำถามว่า “ถ้าสินค้านำเข้าทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้” 

 

จากเดิมที่อุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยก็เผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าราคาตลาด ส่งผลให้เกษตรกรจำนวนมากประสบภาวะขาดทุนและรู้สึกเสียเปรียบเมื่อเทียบกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว หากข้อตกลงเกิดขึ้น อาจเป็นชนวนกระตุ้นให้เกษตรกรบางส่วนมองหาทางลัด 

 

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คงต้องเตรียมรับมือเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรยึดในมั่นจุดยืน Zero Tolerance ร่วมกัน นอกจากการสร้างแบรนด์ สร้างความมั่นใจให้กับสินค้า ‘หมูไทย’ ผ่านตราสัญลักษณ์ ‘ปศุสัตว์ OK’ ต้องเริ่มมองเรื่องการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ส่งเสริมการลงทุนโดยใช้เทคโนโลยีการเลี้ยงสมัยใหม่และหลักการความปลอดภัยทางชีวภาพ เพื่อลดการสูญเสียจากโรคระบาดและเพิ่มผลผลิตต่อตัว อย่างที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังดำเนินการอยู่ 

 

การบังคับใช้กฎหมายอาจต้องเข้มงวดขึ้น โดยเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนและระงับใบอนุญาตการประกอบกิจการ รวมไปถึงมีการตรวจสอบนำเข้าที่เข้มข้น 

 

และเพื่อให้ครอบคลุมการเฝ้าระวังการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงในประเทศไทย ภาครัฐยังเปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังผ่านสายด่วนและแอปพลิเคชั่น DLD 4.0 เป็นการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังในวงกว้าง ขยายขีดความสามารถในการตรวจสอบให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพิ่มเติมจากแนวทางการควบคุม “Farm to Fork” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่การตรวจสอบวัตถุดิบอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยง ไปจนถึงการสุ่มตรวจซากสัตว์ที่โรงฆ่าและตลาดสด  

 

เราในฝั่งผู้บริโภคเอง นอกจากจะต้องเกาะติดประเด็นนี้เอาไว้ ต้องเพิ่มดีกรีความใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย ตั้งแต่การเลือกซื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพและความปลอดภัย ภายใต้สัญลักษณ์ Q หรือ ปศุสัตว์ OK ติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หลีกเลี่ยงเนื้อหมูที่มีสีแดงสดผิดธรรมชาติและมีไขมันน้อยจนเกินไป ลดหรือเลี่ยงการบริโภคเครื่องใน เพิ่มความหลากหลายให้กับมื้ออาหาร เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ โปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้และถั่วต่างๆ เป็นต้น 

 

ถ้าให้สรุปว่าสถานการณ์สารเร่งเนื้อแดงในไทยตอนนี้เป็นเช่นไร น่าจะ ‘อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ต้องระแวงเรื่องความปลอดภัย’ เพราะเสียงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ของประเทศไทยก็ยืนกรานหนักแน่นที่จะรักษาอธิปไตยทางอาหารให้กับคนไทย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising