×

แกะรอยความสำเร็จโครงการ ‘ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน’ ม.แม่โจ้-ม.จุฬา-สิงห์อาสา ฟื้นพื้นที่ไฟไหม้ป่า

โดย THE STANDARD TEAM
25.08.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ต้นไม้ที่ปลูกใหม่ใน 6 ชุมชนต้นแบบของ อ.เมือง และ อ.หางดง จ.เชียงใหม่  มีอัตราการอยู่รอดสูงถึง 80-90% คือผลสำเร็จของ โครงการ ‘ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน’ ของสิงห์อาสา ที่ขับเคลื่อนภารกิจมาตั้งแต่ปี 2565 และทำต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 4 
  • ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จคือ การคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะทางธรรมชาติของท้องถิ่นและให้ประโยชน์กับชุมชน การนำองค์ความรู้การเพาะเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซ่ามาบูรณาการร่วมกันสร้างระบบนิเวศและเครือข่ายป่าอย่างสมดุล รวมถึงความร่วมมือร่วมใจดูแลและปกป้องผืนป่าของคนในชุมชน 
  • โครงการ ‘ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน’ เป็นโครงการของ สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผนึกกำลังกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานต่างๆ 

101,785,271.58 ไร่ คือพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยในปี 2567 ลดลงจากปี 2566 กว่า 32,884.18 ไร่ 

 

นอกจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ชุมชนหรือ สิ่งปลูกสร้าง ‘ไฟป่า’ ยังคงเป็นภัยคุกคามหลักของผืนป่า โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือของไทยซึ่งเป็นจุดความร้อนที่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ (Fire Hotspot) ในเขตป่าไม้จากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง รวมไปถึงการลักลอบเผาป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากความไม่รู้และไม่เข้าใจถึงผลกระทบของคนในชุมชน

 

ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียรยังระบุว่า ปี 2567 ภาคเหนือมีพื้นที่ป่า 63.19% ของพื้นที่ภูมิภาค หรือ 37,946,635.46 ไร่ ลดลงจากปีก่อนไปกว่าสามหมื่นไร่

 

ปัญหาไฟป่าไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศ แต่ยังสร้างมลพิษ ฝุ่นควัน PM 2.5 ลุกลามถึงปัญหาการขาดแคลนพื้นที่ทำกิน

 

 

มีองค์กรและหน่วยงานมากมายร่วมขับเคลื่อนภารกิจฟื้นผืนป่าต้นน้ำที่เคยถูกไฟไหม้ หลายโครงการเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่น่ายินดี หนึ่งในนั้นคือ โครงการ ‘ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน’ ที่ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2565 ภายใต้แนวคิด ‘คนอยู่ได้ ป่าอยู่รอด สัตว์ได้พึ่งพิง’ และเดินหน้าภารกิจต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว

 

สิงห์อาสา ร่วมมือกับ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในปี 2565และคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2567 รวมถึงหน่วยงานต่างๆ เช่น บริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด บริษัทในเครือบุญรอดฯ, สภาลมหายใจเชียงใหม่, เทศบาลตำบลบ้านปง, หน่วยวิจัยการฟื้นฟูป่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย, อุทยานแห่งชาติออบขาน, สำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่1 (เชียงใหม่), พร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคเหนือ 13 สถาบัน

 

โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ป่าต้นน้ำและฟื้นฟูป่าที่ถูกทำลายจากไฟป่า โดยให้ความสำคัญกับการรักษาป่าปลูกใหม่ให้มีโอกาสอยู่รอดให้มากที่สุด ด้วยการดูแล แก้ไข และป้องกันแบบ 360 องศา ตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่ถูกต้อง พร้อมส่งเสริมองค์ความรู้แก่ชุมชน เพื่อให้ตระหนักถึงผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า และสร้างการมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ดูแลป่าอย่างแท้จริง 

 

เปิดโมเดลความสำเร็จ พลิกฟื้นพื้นป่าใน 6 ชุมชนต้นแบบด้วยอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ 90% 

 

 

ผลสำเร็จของโครงการตลอด 3 ปี พบว่า ต้นไม้ที่ปลูกใหม่ใน 6 ชุมชนต้นแบบของ อ.เมือง และ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ มีอัตราการอยู่รอดสูงถึง 80-90% ซึ่งโดยทั่วไป ต้นไม้ที่ปลูกเพิ่มมีอัตรารอดเพียง 20-25% เท่านั้น ทำให้การรักษาแนวป่าไม่ประสบความสำเร็จ

 

การสานต่อภารกิจโครงการในปีที่ 4 สิงห์อาสายังคงจับมือพันธมิตรกลุ่มเดิม พร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาสังคมและชาวบ้าน​ ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ทำงานร่วมกันอีกครั้งเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อฟื้นฟูพื่นที่ที่เคยเกิดไฟป่าเพื่อรักษาแนวป่าไม่ให้ถอยร่นไปกว่าเดิม พร้อมคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ป่าต้นน้ำเติบโตได้ในระยะยาว

 

 

ดร.โชคอนันต์ วาณิชย์เลิศธนาสาร คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ บอกว่า กระดุมเม็ดแรกที่ทำให้โครงการ ‘ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน’ ประสบความสำเร็จคือ การคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะทางธรรมชาติของท้องถิ่นและให้ประโยชน์กับชุมชน

 

“เดิมทีเราคิดจะปลูกไม้ป่าพื้นถิ่น แต่ด้วยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่าย ทำให้เราเลือกปลูกพื้นที่อนุรักษ์พันธุกรรมพืชพันธุ์ของพืชท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อชุมชนและสังคม และอีกกลุ่มคือ พืชสมุนไพรที่เป็นยาและเป็นอาหาร มันคือการสร้างวัฒนธรรมธรรมชาติที่บาลานซ์ระหว่างความเป็นสีเขียวกับเศรษฐกิจ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้น่าภูมิใจ โดยเฉพาะอัตราการรอดของต้นไม้ที่ปลูกซึ่งสูงถึง 80-90%” 

 

ดร.โชคอนันต์ บอกว่าสิ่งสำคัญคือ พลังของชุมชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและอนุรักษ์ผืนป่า “เป้าหมายหลัก 3 ด้าน ที่ทางคณะฯ และสิงห์อาสามีร่วมกันคือ การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลสิ่งแวดล้อม การสร้างเครือข่ายเพื่อป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างไฟป่าและหมอกควัน และการพัฒนานวัตกรรมในการฟื้นฟูพื้นที่ป่า ถ้าจะทำให้คนในชุมชนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ หวงแหน อยากดูแล ต้องปลูกฝังแนวคิดและความเข้าใจให้กับคนในชุมชนถึงผลกระทบของการเผาป่า”

 

ขณะเดียวกัน การพัฒนาเครือข่ายให้ช่วยกันดูแลและเฝ้าระวังรวมถึงการสร้างนวัตกรรมการฟื้นฟูป่า ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันเพื่อให้คนในชุมชนเกิดความเชื่อมั่น

 

“เราพยายามจะสร้างนวัตกรรมการฟื้นฟูป่า ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหน่วยงานกลุ่มเล็กจากท้องถิ่นที่ให้การสนับสนุน ดูแล และติดตาม เรามองไปถึงการสร้างชุดการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ เพื่อให้เด็กรุ่นหลังภาคภูมิใจและเฝ้าระวังไฟป่าร่วมกัน”

 

“ความต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญ” ดร.โชคอนันต์ เล่าว่าตลอด 4 ปีที่ทำงานร่วมกับสิงห์อาสา ได้เข้าไปพัฒนาพื้นที่ป่ามากกว่า 17 ชุมชน มีชุมชนต้นแบบ 6 แห่ง ที่สามารถนำผลผลิตที่ได้จากป่าอนุรักษ์มาใช้ประโยชน์ได้จริงและคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่ป่าต้นน้ำ “พอเราย้อนกลับไปดูหมู่บ้านที่เราเคยลงไปทำงานจะเห็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ขึ้น ถ้าหน่วยงานที่เข้าไปทำงานไม่มีการทำงานต่อเนื่อง ไม่ติดตามผล ชาวบ้านก็จะไม่เชื่อมั่น”

 

 

อย่างการลงพื้นที่ล่าสุดนอกจากจะปลูกต้นไม้เพิ่ม ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังนำองค์ความรู้การเพาะเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซ่ามาบูรณาการร่วมกันสร้างระบบนิเวศและเครือข่ายป่าอย่างสมดุล

 

‘เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา’ เพื่อนรัก รากไม้ ใต้ดิน

 

“การปลูกต้นไม้โดยไม่มีเชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา ก็เหมือนปลูกโดยตัดขาดเครือข่ายช่วยเหลือ ทำให้ต้นไม้ไม่แข็งแรงและยากจะเติบโตในระยะยาว”

 

ผศ.ดร.จิตรตรา เพียภูเขียว อาจารย์ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านเห็ดไมคอร์ไรซ่ามากว่า 20 ปี ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ทำให้การปลูกป่าล้มเหลว ปัจจัยแรกเลือกพันธุ์ไม้ที่ไม่สอดคล้องกับระบบนิเวศพื้นถิ่น

 

 

“การปลูกป่าที่ล้มเหลวมักเกิดจากการไม่เข้าใจระบบนิเวศและมองข้ามบทบาทของสิ่งมีชีวิตใต้ดิน โดยเฉพาะ “เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซา”

 

ผศ.ดร.จิตรตรา อธิบายว่า ‘ไมคอร์ไรซา’ เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ‘รา’ กับ ‘รากพืช’ แบบพึ่งพาอาศัยกัน โดยราจะทำหน้าที่หาแร่ธาตุและน้ำให้กับพืช ขณะเดียวกันพืชก็ทำหน้าที่สร้างน้ำตาลส่งกลับมาที่รากเพื่อเลี้ยงราที่พันอยู่รอบๆ ราก ราไมคอร์ไรซาหลายชนิดสามารถสร้างดอกเห็ดเจริญบนดินได้

 

เส้นใยของเห็ดไมคอร์ไรซาจะสานเครือข่ายใต้ดินกับรากต้นไม้เพื่อให้ต้นไม้แต่ละต้นในระบบนิเวศป่าได้ช่วยเหลือกัน เครือข่ายที่ว่านี้จึงเปรียบเสมือนเครือข่ายการสื่อสารที่ทำให้ต้นไม้สื่อสารกันและพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลกัน 

 

 

“การปลูกต้นไม้โดยไม่มีเชื้อราไมคอร์ไรซา ก็เหมือนปลูกโดยตัดขาดเครือข่ายช่วยเหลือ ทำให้ต้นไม้ไม่แข็งแรงและยากจะเติบโตในระยะยาว และราไมคอร์ไรซาจะเติบโตอาศัยอยู่กับรากไม้ป่ายืนต้นบางชนิด อาทิ ไม้วงศ์ยาง เช่น ยางนา ตะเคียน พะยอม พลวง (ตองตึง) เต็ง รัง ยางแดง เป็นต้น”

 

ผศ.ดร.จิตรตรา เน้นย้ำว่า การทำลายไม้ยืนต้น 1 ต้น เท่ากับทำลายระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันด้วยเส้นใยใต้ดินตายทั้งหมด “ผลกระทบจากไฟป่าที่ไม่เพียงทำลายพืชพรรณบนดิน แต่ยังทำลายรากและเส้นใยเห็ดไมคอร์ไรซาใต้ดิน” การใช้เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซาในโครงการนี้ จึงมีความสำคัญเทียบเท่าการให้วัคซีนกับต้นไม้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยถูกไฟป่าทำลายซ้ำซาก

 

“เชื้อเห็ดไมคอร์ไรซาช่วยให้พืชได้รับน้ำและแร่ธาตุมากกว่า มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีกว่า อีกทั้งยังป้องกันโรคพืชในระบบราก และทำให้ต้นไม้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ทนแล้ง ทนต่อดินเป็นกรด
เป็นด่าง ที่สำคัญคือ เห็ดไมคอร์ไรซาบางชนิดกินได้เป็นอาหารทั้งคนและสัตว์ป่า”

 

ความสำเร็จของการปลูกป่าในมุมของ ผศ.ดร.จิตรตรา คือ ต้องสร้างรายได้ที่ยั่งยืนแก่ชาวบ้านควบคู่กัน

 

“เมื่ออุณหภูมิ ความชื้นเหมาะสม เส้นใยราไมคอร์ไรซาจะสร้างดอกเห็ดที่เราเรียกว่า ‘เห็ดป่าไมคอร์ไรซา’ ซึ่งเห็ดป่าไมคอร์ไรซาบางชนิด เช่น เห็ดเผาะหรือเห็ดถอบ เห็ดหล่มหรือเห็ดตะไคล เห็ดไข่เหลือง และเห็ดไข่ห่าน ซึ่งเป็นเห็ดที่ชาวบ้านสามารถนำไปกินและจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี” 

 

สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้กับคนในชุมชน “หากชาวบ้านต้องการเห็ด ต้องรู้ว่าควรปลูกไม้ชนิดไหน ต้องดูแลต้นไม้ยังไง และถ้าเผาป่าจะผลกระทบอะไรตามมา การจะปลูกป่าในใจคนได้ คุณต้องให้คนนั้นมีความเข้าใจถึงที่มาที่ไปและสิ่งที่เขาจะได้ เมื่อนั้นป่าจะถูกปลูกขึ้นจากความรู้ความเข้าใจ สุดท้ายก็กลายเป็นความยั่งยืน” 

 

 

‘เติมผืนป่า เติมความรู้ ความเข้าใจ’ สู่การดูแลทรัพยากรด้วยใจของคนในชุมชน 

 

อนงค์ วงค์ษา ผู้ใหญ่บ้านชุมชนบ้านแม่ฮะ ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เล่าว่าสมัยก่อนที่นี่เคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ อาหารก็เก็บกินในป่า มีมากจนนำไปขายสร้างรายได้ จนกระทั่งไฟป่ากลายเป็นภัยคุกคามทำให้แหล่งทำกิน แหล่งอาหารของพวกเขาหมดไป อีกทั้งมลพิษจากไฟป่าทำให้คนเจ็บป่วยมากขึ้น คนในชุมชนต้องออกไปทำมาหากินที่อื่น ตัวเขาเองก็ไปรับจ้างทำงานตามรีสอร์ท

 

“ต้องขอบคุณ สิงห์อาสา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูพื้นที่ทำกินให้กับพวกเรา ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก เหมือนย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ที่ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ อากาศก็ดีขึ้นมาก แรกๆ คนในหมู่บ้านก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไร แต่ผ่านไปปีสองปี เราเริ่มเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ต้นไม้และพืชพันธุ์ที่สิงห์อาสาเอามาปลูก เป็นพืชที่คนกินได้ สัตว์กินได้ มันเริ่มออกดอกออกผล มีมากพอที่จะเก็บไปขายได้ พอคนในชุมชนเห็นประโยชน์ เขาก็อยากดูแล ปกป้อง ช่วยกันดูแลไม่ให้มีการเผาป่า”

 

“เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าจะต้องดูแลรักษาป่ายังไง ไม่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบอะไรจากการเผาป่าเพื่อหาเห็ด แต่ตอนนี้คนในชุมชนรับรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทุกเดือนกุมภาพันธ์ คนในชุมชนจะช่วยกันทำแนวกันไฟ เพราะเราไม่อยากให้บ้านของเราถูกทำลายลงไปอีก” 

 

อนงค์ยังบอกด้วยว่า “สิงห์อาสาไม่ได้แค่ฟื้นฟูป่า แต่ยังฟื้นฟูจิตใจพี่น้องชาวบ้านให้มีความหวัง มีที่ทำกิน และทำให้พวกเราอยากจะรักษาป่ามากขึ้น”

 

ความสำเร็จสูงสุดที่สิงห์อาสาและผู้มีส่วนขับเคลื่อนโครงการนี้อาจมองไปไกลกว่าการฟื้นชีพผืนป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ แต่คือการสร้าง ‘คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน’ 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising