×

กต. เชิญสื่อแจงแนวทางดำเนินการกรณีไทย-กัมพูชา มุ่งสื่อสารประชาคมโลก

22.08.2025
  • LOADING...
กต. แจงสื่อ ชายแดนไทย-กัมพูชา

รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ จัดบรรยายสรุปเรื่องการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศในสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ต่อสื่อมวลชนหลายสำนัก รวมถึงสื่อภาษาอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารกับประชาคมโลก โดยสรุปสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการไปแล้ว และการดำเนินการในขั้นต่อไป ตลอดจนมุมมองและจุดยืนของไทยในประเด็นต่างๆ

 

ในประเด็นสิ่งที่กระทรวงฯ ได้ดำเนินการไปแล้วนั้น รวมถึงเรื่องการร้องเรียนและประท้วงใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 

 

1.การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ซึ่งละเมิดอธิปไตยและอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา

2.การโจมตีประชาชนและพื้นที่พลเรือนของไทย รวมทั้งโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law)

3.การรุกรานอธิปไตยของไทย และการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา

 

ในประเด็นทุ่นระเบิดฯ นั้น ทางกระทรวงฯ ได้แจ้งประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาและเลขาธิการสหประชาชาติให้เริ่มกระบวนการในการตรวจสอบการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชา(ตาม Article 8 (2) ของอนุสัญญาฯ) และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ให้เงินสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดฯ ของกัมพูชา ให้กดดันกัมพูชา กลับเข้ามาร่วมในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน ตามกลไก GBC ที่ไทยเรียกร้อง 

 

ทั้งนี้ รวมทั้งการเชิญคณะทูตจากประเทศต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดฯ และองค์กรระหว่างประเทศในไทย มาบรรยายสรุป ในวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา และมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะทูตและองค์กรระหว่างประเทศลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 16 สิงหาคม

 

ส่วนประเด็นการโจมตีประชาชนและพื้นที่พลเรือนของไทย กระทรวงฯ ได้แจ้งไปยังกลไกสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และ UNICEF โดยระหว่างวันที่ 11-14 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง ICRC ได้ส่งทีมลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลกระทบ โดยกระทรวงฯ เป็นผู้อำนวยความสะดวก

 

ขณะที่การละเมิดการหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชานั้น ทางกระทรวงฯ ได้มีหนังสือประท้วงต่อกัมพูชารวมทั้งการร้องเรียนกับมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน รวมถึงสหรัฐฯ จีน และ UNSC ทั้งนี้ ปัจจุบัน ไม่มีการปะทะกันระหว่างกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว

 

ส่วนการดำเนินการในขั้นต่อไปของทางกระทรวงฯ นั้น มีหลายประเด็น ดังนี้

 

  • กระทรวงฯ จะมุ่งเน้นการให้กลไกทวิภาคีดำเนินการไปได้ตามปกติ โดยไม่หยุดชะงัก ไม่มีการปะทะเกิดขึ้นอีก เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายใช้โอกาสในการยกระดับประเด็นขึ้นสู่เวทีระหว่างประเทศ
  • ดำเนินการและเยียวยาให้กับภาคเอกชนและประชาชนไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดน ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง
  • รักษาภาพลักษณ์และบทบาทที่ดีของไทยในเวทีระหว่างประเทศ และเดินหน้าชี้แจงการประพฤติมิชอบของฝ่ายกัมพูชาในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแรงกดดันและสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศจะมีส่วนช่วยในการดำเนินการของไทยในการแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา
  • ทางกระทรวงฯ จะร่วมกับกระทรวงกลาโหม ในการจัดการประชุม RBC และ GBC ให้ประสบผลสำเร็จ
  • เตรียมการจัดการประชุม JBC ครั้งต่อไป ในช่วงเดือนกันยายนนี้ โดยไทยเป็นเจ้าภาพ และเรียกร้องให้กัมพูชาเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
  • กระทรวงฯ ร่วมกำหนดแนวทางต่อประเด็นคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) และในกรณีจำเป็นสำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) 
  • เดินหน้าแนวทางการสร้างความเข้าใจต่อประชาคมโลกและรับมือกับข่าวปลอมและสงครามข่าวสารที่ยังคงดำเนินอยู่
  • ผลักดันให้กัมพูชาร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
  • เตรียมคำชี้แจงในเวทีพหุภาคีที่เกี่ยวข้อง ในการละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) และการละเมิดหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเวที ICRC รวมทั้ง การประชุม UNGA ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายน และการประชุมผู้นำอาเซียนในเดือนตุลาคมนี้

 

นอกจากนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยังชี้แจงสื่อมวลชน ถึงความแตกต่างของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) 

 

โดย IOT ประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประจำการอยู่ในประเทศไทยและกัมพูชาอยู่แล้ว ซึ่งช่วยให้สามารถส่งกำลังพลและปฏิบัติภารกิจสังเกตการณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นส่วน AOT จะกำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมส่งกำลังพลผู้สังเกตการณ์ทางทหารจากเมืองหลวงของตน 

 

ขณะที่กระบวนการดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมายและการบริหารภายในประเทศเพิ่มเติมภายใต้กฎหมายไทย ซึ่งอาจทำให้การส่งกำลังพลล่าช้าลง 

 

ทั้งนี้ ไทยสนับสนุน AOT อย่างเต็มที่ในหลักการ แต่ก็ตระหนักถึงข้อจำกัดดังกล่าว และความจำเป็นในการมีกลไกที่ทันท่วงทีและสามารถทำงานได้โดยไม่ล่าช้า

 

ในบริบทนี้ ไทยเชื่อว่าโครงสร้าง IOT ยังคงเป็นแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สังเกตการณ์จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ขณะที่การหารือเกี่ยวกับ AOT ยังคงดำเนินต่อไป และไทยยังคงพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติทั้งสองรูปแบบในลักษณะที่รับประกันความรวดเร็ว ประสิทธิภาพ และความเป็นเอกภาพของอาเซียน 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising