รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ จัดบรรยายสรุปเรื่องการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศในสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ต่อสื่อมวลชนหลายสำนัก รวมถึงสื่อภาษาอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารกับประชาคมโลก โดยสรุปสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการไปแล้ว และการดำเนินการในขั้นต่อไป ตลอดจนมุมมองและจุดยืนของไทยในประเด็นต่างๆ
ในประเด็นสิ่งที่กระทรวงฯ ได้ดำเนินการไปแล้วนั้น รวมถึงเรื่องการร้องเรียนและประท้วงใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ซึ่งละเมิดอธิปไตยและอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา
2.การโจมตีประชาชนและพื้นที่พลเรือนของไทย รวมทั้งโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law)
3.การรุกรานอธิปไตยของไทย และการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา
ในประเด็นทุ่นระเบิดฯ นั้น ทางกระทรวงฯ ได้แจ้งประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาและเลขาธิการสหประชาชาติให้เริ่มกระบวนการในการตรวจสอบการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชา(ตาม Article 8 (2) ของอนุสัญญาฯ) และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ให้เงินสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดฯ ของกัมพูชา ให้กดดันกัมพูชา กลับเข้ามาร่วมในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน ตามกลไก GBC ที่ไทยเรียกร้อง
ทั้งนี้ รวมทั้งการเชิญคณะทูตจากประเทศต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดฯ และองค์กรระหว่างประเทศในไทย มาบรรยายสรุป ในวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา และมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะทูตและองค์กรระหว่างประเทศลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 16 สิงหาคม
ส่วนประเด็นการโจมตีประชาชนและพื้นที่พลเรือนของไทย กระทรวงฯ ได้แจ้งไปยังกลไกสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และ UNICEF โดยระหว่างวันที่ 11-14 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง ICRC ได้ส่งทีมลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลกระทบ โดยกระทรวงฯ เป็นผู้อำนวยความสะดวก
ขณะที่การละเมิดการหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชานั้น ทางกระทรวงฯ ได้มีหนังสือประท้วงต่อกัมพูชารวมทั้งการร้องเรียนกับมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน รวมถึงสหรัฐฯ จีน และ UNSC ทั้งนี้ ปัจจุบัน ไม่มีการปะทะกันระหว่างกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว
ส่วนการดำเนินการในขั้นต่อไปของทางกระทรวงฯ นั้น มีหลายประเด็น ดังนี้
- กระทรวงฯ จะมุ่งเน้นการให้กลไกทวิภาคีดำเนินการไปได้ตามปกติ โดยไม่หยุดชะงัก ไม่มีการปะทะเกิดขึ้นอีก เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายใช้โอกาสในการยกระดับประเด็นขึ้นสู่เวทีระหว่างประเทศ
- ดำเนินการและเยียวยาให้กับภาคเอกชนและประชาชนไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดน ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง
- รักษาภาพลักษณ์และบทบาทที่ดีของไทยในเวทีระหว่างประเทศ และเดินหน้าชี้แจงการประพฤติมิชอบของฝ่ายกัมพูชาในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแรงกดดันและสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศจะมีส่วนช่วยในการดำเนินการของไทยในการแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา
- ทางกระทรวงฯ จะร่วมกับกระทรวงกลาโหม ในการจัดการประชุม RBC และ GBC ให้ประสบผลสำเร็จ
- เตรียมการจัดการประชุม JBC ครั้งต่อไป ในช่วงเดือนกันยายนนี้ โดยไทยเป็นเจ้าภาพ และเรียกร้องให้กัมพูชาเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
- กระทรวงฯ ร่วมกำหนดแนวทางต่อประเด็นคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) และในกรณีจำเป็นสำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT)
- เดินหน้าแนวทางการสร้างความเข้าใจต่อประชาคมโลกและรับมือกับข่าวปลอมและสงครามข่าวสารที่ยังคงดำเนินอยู่
- ผลักดันให้กัมพูชาร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
- เตรียมคำชี้แจงในเวทีพหุภาคีที่เกี่ยวข้อง ในการละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) และการละเมิดหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเวที ICRC รวมทั้ง การประชุม UNGA ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายน และการประชุมผู้นำอาเซียนในเดือนตุลาคมนี้
นอกจากนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยังชี้แจงสื่อมวลชน ถึงความแตกต่างของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT)
โดย IOT ประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประจำการอยู่ในประเทศไทยและกัมพูชาอยู่แล้ว ซึ่งช่วยให้สามารถส่งกำลังพลและปฏิบัติภารกิจสังเกตการณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นส่วน AOT จะกำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมส่งกำลังพลผู้สังเกตการณ์ทางทหารจากเมืองหลวงของตน
ขณะที่กระบวนการดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมายและการบริหารภายในประเทศเพิ่มเติมภายใต้กฎหมายไทย ซึ่งอาจทำให้การส่งกำลังพลล่าช้าลง
ทั้งนี้ ไทยสนับสนุน AOT อย่างเต็มที่ในหลักการ แต่ก็ตระหนักถึงข้อจำกัดดังกล่าว และความจำเป็นในการมีกลไกที่ทันท่วงทีและสามารถทำงานได้โดยไม่ล่าช้า
ในบริบทนี้ ไทยเชื่อว่าโครงสร้าง IOT ยังคงเป็นแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สังเกตการณ์จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ขณะที่การหารือเกี่ยวกับ AOT ยังคงดำเนินต่อไป และไทยยังคงพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติทั้งสองรูปแบบในลักษณะที่รับประกันความรวดเร็ว ประสิทธิภาพ และความเป็นเอกภาพของอาเซียน