ปัจจัยภาษีการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีความชัดเจนขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มคลี่คลายลง แต่ปัจจัยการเมืองในประเทศเริ่มมีสัญญาณอันตรายไปสู่การ ‘ยุบสภา’ แล้วจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแค่ไหน
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth วิเคราะห์ประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจและการเมืองใน โดยฉายภาพใหญ่และประเมินความเสี่ยงที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ ประเมินว่ามี 4 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่
- สงครามการค้า แม้สหรัฐฯ จะมีการประกาศเรียกเก็บภาษีกับไทยในอัตรา 19% ซึ่งอยู่ในช่วงที่คาดการณ์ไว้ที่ 15-20% และถือว่าไม่รุนแรงเท่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากประเด็น Transhipment ที่สินค้าจากประเทศอื่นถูกส่งผ่านมาทางไทย รวมถึงเงื่อนไขการนำเข้าสินค้าบางชนิดของสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีที่สูงขึ้นได้ในอนาคต หากไทยไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น การลดเกินดุลให้ได้ 70% ภายใน 5 ปี หรือเงื่อนไขเรื่องสารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมู
- สงครามไทย-กัมพูชา ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนจะสงบลงในระดับหนึ่ง ทำให้ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ลดลง
- ด้านแนวโน้ม GDP ของไทย ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ InnovestX ต่างได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของไทยขึ้นพร้อมกัน โดย InnovestX ปรับเพิ่มจาก 1.4% เป็น 1.8% สำหรับปีนี้ และคาดการณ์ว่าปีหน้าจะเติบโตเพียง 1.4% หรือต่ำกว่า ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่ยังคงต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น
- ความเสี่ยงทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา โดยมีประเด็นหลักคือการ ‘ยุบสภา’ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนและหลังการพิจารณางบประมาณปี 2569 โดยมี 3 สถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ ดังนี้
- สถานการณ์ที่ 1 มีโอกาส 10% คือ รัฐบาลได้รับผลดีจากคำวินิจฉัยศาลฯ และสามารถอยู่ต่อได้โดยอาจมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
- สถานการณ์ที่ 2 มีโอกาส 60% คือ ยุบสภาหลังการผ่านงบประมาณปี 2569 ซึ่งเป็นไปได้มากที่สุด โดยการบริหารประเทศอาจชะลอตัวลงในช่วงรัฐบาลรักษาการ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง 0-0.3%
- สถานการณ์ที่ 3 มีโอกาส 30% คือ ยุบสภาก่อนการผ่านงบประมาณ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด เพราะอาจทำให้การเมืองไร้เสถียรภาพ นำไปสู่การชุมนุม หรือการถูกยกคดีอื่นๆ มาเล่นงาน และส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงถึง 0.3-0.5%
หวั่นภาษีสหรัฐฯ กระทบอิเล็กทรอนิกส์-สินค้าเกษตร
การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าส่งออกบางประเภท เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, PCB, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการดึงฐานการผลิตกลับไปในประเทศ ส่วนการลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% สำหรับสินค้าบางประเภทโดยไทย เช่น สินค้าเกษตร จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ แต่ในทางกลับกันก็เป็นโอกาสให้ไทยสามารถลดต้นทุนการนำเข้าเครื่องจักรหรืออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งออกไปยังตลาดอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯ ได้
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดร.ปิยศักดิ์ มองว่า ปัจจัยบวกจากความเสี่ยงที่ลดลงทำให้ SET Index มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าดัชนีจะอยู่ในช่วง 1,242-1,419 จุด หรือเฉลี่ยประมาณ 1,300 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุน InnovestX แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากธีมที่ความเสี่ยงคลี่คลายลง เช่น หุ้นในกลุ่ม Industrial Estate คือ AMATA, พลังงาน คือ GPSC, และการค้าปลีก คือ CPALL, MINT
แนะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง ทุ่ม 2-3 ล้านล้าน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
ดร.ปิยศักดิ์ เสนอแนะว่าการบริหารเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ จำเป็นต้องมีนโยบายที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
- นโยบายการเงิน ควรมีการพิจารณา ลดดอกเบี้ย อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
- นโยบายการคลัง ควรมีการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากราว 2-3 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการท่าเรือทางฝั่งอันดามันเพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และโครงการชลประทาน ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้มากกว่าการแจกเงิน
โดยมุมมองของ InnovestX มองว่า หากไม่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจลดลงต่ำกว่า 2% หรืออาจเห็นตัวเลข 1% ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้างอย่างสังคมสูงวัย และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลก การลงทุนขนาดใหญ่ในลักษณะเดียวกับ American New Deal ในอดีต จึงอาจเป็นคำตอบที่ช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศและผลักดันตลาดหุ้นไทยให้กลับไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้อีกครั้ง