สถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและผันผวนรายวัน ทั้งประเด็นสงคราม ความขัดแย้งทางการค้า รวมถึงทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ทำให้การบริหารพอร์ตลงทุนไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป แล้วนักลงทุนควรวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM, Head of Investment Consultant, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า ร้อนประเด็นร้อนล่าสุดที่โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความระบุว่าอิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิงใน 24 ชั่วโมง ซึ่งแม้จะยังไม่มีการยืนยันจากอิหร่าน แต่ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ตลาดทุนตอบรับเชิงบวกทันที โดยตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวลง
“ถ้าสงครามยุติได้จริงอย่างที่ทรัมป์กล่าวอ้าง จะเป็นบวกกับการลงทุนทั่วโลก สินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะค่อยๆ ลดความกังวลและกลับสู่สภาวะปกติ” ชาตรีกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาด และสงครามยังดำเนินต่อไป อาจนำไปสู่การยกระดับความรุนแรง เช่น การปิดช่องแคบฮอร์มุซ หรือการโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ ราคาน้ำมันกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง และสร้างผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อ
แม้ว่าสงครามตะวันออกกลางจะยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก เนื่องจากช่องแคบยังไม่ถูกปิด แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นส่งผลต่อมิติการดำเนินธุรกิจและภาพเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในประเด็นราคาพลังงาน
ชาตรีชี้ว่า ผลกระทบหลักของสงครามคือราคาน้ำมันที่กระทบกับทั้งโลก ว่าหากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อาจไม่เป็นปัญหามากนัก แต่หากความรุนแรงของสงครามเพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การปิดช่องแคบ หรือการทำลายแหล่งปิโตรเลียม ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ในเอเชียที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันสูง เช่น อินเดีย จีน และไทย
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังส่งผลให้ ปัญหาเงินเฟ้อกลับมาเป็นความกังวลหลัก ซึ่งจะกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ตลาดคาดหวังให้มีการลดดอกเบี้ย
ค่าเงินบาทและสงครามการค้า-ภาพรวมยังไม่ชัดเจน
ในส่วนของ ค่าเงินบาท มองว่า หากสงครามยังดำเนินต่อไป ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงแข็งค่าในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ส่วนค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวตามข่าวสงครามที่ออกมา แต่โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยที่ไม่ได้แข็งแรงมากนัก และการส่งออกที่ชะลอตัว ทำให้คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าขึ้นมากนักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และจะแกว่งตัวในกรอบที่ไม่กว้างมากนัก ซึ่งอาจช่วยให้การวางแผนการส่งออกและการนำเข้าทำได้ง่ายขึ้น
สำหรับ สงครามการค้า ที่เส้นตาย 90 วันของมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ จะครบกำหนดในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ โดย ชาตรีมองว่า สหรัฐฯ ได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจาอาจได้รับการเลื่อนเส้นตายออกไปก่อน เพื่อให้มีการเจรจาให้แล้วเสร็จ ส่วนประเทศที่ไม่ได้เจรจาอาจได้รับผลกระทบทางภาษีต่อไป
“ผมเชื่อว่าเส้นตายวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับประเทศส่วนใหญ่ที่คุยอยู่น่าจะถูกเลื่อนออกไป เพราะไม่น่าจะคุยกันทัน ส่วนประเทศไทยก็เป็นหนึ่งใน 18 ประเทศที่เจรจาอยู่ จึงเชื่อว่าผลกระทบในเรื่องนี้จะไม่มากนัก” ชาตรี กล่าว
กลยุทธ์การลงทุนในภาวะ “ฝุ่นตลบ”
ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความผันผวน ชาตรีเน้นย้ำปรัชญาการลงทุนของ SCB CIO คือ “Stay Invested” หรือการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าแม้จะเผชิญกับสงคราม เศรษฐกิจถดถอย หรือความผันผวนต่างๆ ตลาดทุนโดยรวมก็ยังสามารถกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ
“เราไม่จำเป็นต้องตระหนกตกใจเกินไป สิ่งที่ควรทำคือเลือกการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ และกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ให้มากพอ” ชาตรีแนะนำ
สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีความชำนาญหรือไม่มีเวลาในการจัดสรรสินทรัพย์ด้วยตนเอง โดยมีคำแนะนำทางเลือกดังนี้
- กองทุนที่มีความยืดหยุ่น (Flexible/Mixed Fund): กองทุนประเภทนี้จะให้ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกและปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
- กองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยง (Equity Long/Short): กองทุนประเภทนี้จะมีการซื้อหุ้นในตลาดที่น่าสนใจ (Long) และขายชอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยงในตลาดรวมหรือตลาดที่ไม่น่าสนใจ ซึ่งจะช่วยให้มีความยืดหยุ่นและไม่ขึ้นลงตามตลาดเพียงอย่างเดียว
ทิศทาง Fund Flow: มองหาโอกาสในตลาดเกิดใหม่
สำหรับทิศทางของ Fund Flow มองว่ากระแส “Sell America” หรือการขายหุ้นสหรัฐฯ ที่โดดเด่นมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อหาโอกาสในตลาดอื่นที่ราคาอาจดู “Laggard” หรือปรับขึ้นช้ากว่า ยังคงมีอยู่
อย่างไรก็ตาม ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เอง หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงน่าสนใจจากผลประกอบการที่เติบโตโดดเด่น ส่วนหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคอาจต้องระมัดระวังจากภาวะเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ในทางกลับกัน ชาตรีมองว่า ตลาดนอกสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเอเชียมีความน่าสนใจมากขึ้น หากสงครามในตะวันออกกลางยุติลงจริง ความกังวลเรื่องราคาน้ำมันที่เคยกดดันตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน เอเชียตะวันออก และอินเดีย ก็จะคลายตัวลง และทำให้ตลาดหุ้นเหล่านี้มีโอกาสฟื้นตัว
“ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนอาจจะลองจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนในตลาดเกิดใหม่เหล่านี้มากขึ้น ซึ่งก็น่าสนใจ” ชาตรีทิ้งท้าย