นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ต่อปี ในการประชุมวันที่ 25 มิถุนายนนี้ แต่มีโอกาสหั่นลงอีกในช่วงที่เหลือของปี ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า
EIC มองไทยยังอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ชี้ดอกเบี้ยแท้จริงยังอยู่ระดับสูง
ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยในรายการ Morning Wealth ของ THE STANDARD WEALTH เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 โดยประเมินว่า ในการประชุมวันที่ 25 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสที่จะยัง ‘คง’ ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ต่อไป เพื่อรอดูสถานการณ์ หลังจากการลดดอกเบี้ยติดต่อกันมาหลายต่อหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทั้งปีนี้ SCB EIC มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะเป็นขาลง โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง. น่าจะยังปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) จากระดับ 1.75% ไปสู่ระดับ 1.25% ต่อปี ณ สิ้นปีนี้
ดร.ปุณยวัจน์ อธิบายต่อว่า หนึ่งในสาเหตุที่มองว่า กนง. ยังมีพื้นที่ว่างให้ลดดอกเบี้ยต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้มาจาก อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real Interest Rate) หรือดอกเบี้ยนโยบายหักด้วยเงินเฟ้อของไทยปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก
“ในการประเมินดอกเบี้ยนโยบาย อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องประเมินคือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real Interest Rate) หรือดอกเบี้ยนโยบายหักด้วยเงินเฟ้อ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา 10-20 ปี มีค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ -0.1% ครับ แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง อยู่ที่ 1% ต้องบอกว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้น จึงมีช่องว่าง (Room) ให้ลงมาได้อีก”
นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่า “ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า และคุณภาพสินเชื่อที่ยังด้อยอยู่เนี่ย SCB EIC เชื่อว่า กนง. น่าจะนะครับ ลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้”
กรุงไทยคาด กนง. คงดอกเบี้ยนัดนี้ แต่เตรียมส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความวุ่นวายของการเมืองไทยให้แน่ชัดก่อน
ทว่า กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ควบคู่ไปกับเครื่องมือหรือนโยบายที่มีความจำเพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน และภาวะการเงินของไทยที่ยังคงตึงตัวอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมุมมองเดิมว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 1.25% ได้ ภายใน 12 เดือน ข้างหน้า
CIMB แนะลดดอกเบี้ย ‘กันก่อนแก้’ ห่วงเศรษฐกิจแย่หนัก สิ้นปีที่ 1.25% ก็เอาไม่อยู่
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) กล่าวผ่าน Facebook โดยแนะว่า กนง. น่าจะลดดอกเบี้ยรอบวันที่ 25 มิถุนายนนี้เหลือ 1.50% ไม่ต้องรอเก็บ Policy Space ท่ามกลางปัจจัยต่างๆ เช่น เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขยายตัวต่ำกว่าคาด ปัจจัยการเมืองมาแทรกยิ่งน่าห่วงแรงส่งการคลังมีปัญหา เงินเฟ้อต่ำลากยาว และสินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง เป็นต้น
“บ้างบอกว่าลดดอกเบี้ยไปก็ไม่ช่วย สู้เก็บกระสุนไว้ดีกว่า อันนี้ผมเห็นต่าง ลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระคนมีหนี้เดิม และสร้างแรงจูงใจคนกู้ใหม่ๆ
หลายสำนักมองว่า กนง. รอได้ รอลดเดือนสิงหาคมก็ไม่สาย wait and see ไปก่อน รอทั้งการเมืองให้คลี่คลาย รอการเจรจาภาษีกับทรัมป์ต้นกรกฎาคม รอ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยชัดกว่านี้ และเก็บ policy space หรือกระสุนดอกเบี้ยที่เหลือเพียง 1.75% เอาไว้ใช้ตอนจำเป็นดีกว่า
ผมว่าใช้เลย ยิ่งเก็บนาน ตอนจะต้องลด อาจลดหนักกว่าที่จำเป็น น่ามีมาตรการ preemptive หรือกันก่อนแก้ อย่าลืมว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจขาลงมากขึ้น ยิ่งมองต่อไปหากมีความเสี่ยงทางการคลังจะยิ่งต้องใช้มาตรการทางการเงินมากกว่านี้
สรุป ฟันธงลดดอกเบี้ยเหลือ 1.50% เดือนมิถุนายนนี้ และอีกครั้งเดือนสิงหาคมเหลือ 1.25% (เห็นต่างคนอื่นแค่เวลา แต่ปลายทางที่ 1.25% คล้ายกัน) แต่หากมีปัญหาเศรษฐกิจหนักกว่านี้ ผมว่า 1.25% ก็เอาไม่อยู่ น่าลุ้นว่าต้องลดดอกเบี้ยยาว ลงลึกกว่านี้”
KResearch คาด กนง. ลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง จับตาผู้ว่าการฯ ธปท. คนใหม่
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch Center) ประเมินว่า ในการประชุม กนง. วันที่ 25 มิถุนายน 2568 นี้ กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% หลังปรับลดมาแล้ว 0.50% ในปีนี้ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- กนง. คงรอประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย
- ติดตามสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางเงินเฟ้อของไทย เนื่องจากเงินเฟ้อของไทยมีความเชื่อมโยงค่อนข้างสูงกับราคาพลังงาน
- ภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ชะลอลงจากการประชุมในครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ กนง. มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายการเงิน (monetary policy space) สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เหมาะสมและก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในระยะข้างหน้า
- นอกจากนี้ ธปท. มีการใช้นโยบายทางการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะ ‘มาตรการคุณสู้เราช่วย’ ซึ่งธปท. มองว่าอาจช่วยบรรเทาปัญหาหนี้ได้อย่างตรงจุด
ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้
- นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนหลังสิ้นสุดการชะลอปรับขึ้นภาษี 90 วัน แต่คาดว่าจะเห็นส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวลึกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากมีการเร่งส่งออกอย่างมากในช่วงก่อนหน้า
- จำนวนนักท่องเที่ยวมีโมเมนตัมอ่อนแรงลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และยังคงไม่เห็นภาพการฟื้นตัว ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวในปีนี้เผชิญความเสี่ยงที่จะเห็นการหดตัวของนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
- แรงกดดันเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง แม้สถานการณ์ตะวันออกกลางผลักดันราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นชั่วคราว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลงประกอบกับมีการไหลบ่าเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูก
- ปัญหาด้านเสถียรภาพของรัฐบาลอาจส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณและแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่งผลให้โอกาสที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งนั้นมีมากขึ้น อย่างไรก็ดี จังหวะในการปรับลดดอกเบี้ยคงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ การคัดเลือกผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ที่จะเริ่มเข้าดำรงตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2568 เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในไตรมาส 4/2568 ของปีนี้เป็นต้นไป