×

7 วิธีคิดแบบ Consult ที่ช่วยให้คุณแก้ได้ทุกปัญหาอย่างมีระบบ

23.06.2025
  • LOADING...
Consult

จะดีแค่ไหนถ้าเรามี ‘พิมพ์เขียวในการคิดวิเคราะห์’ ที่ช่วยให้มองเห็นทางออกได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเสริมศักยภาพให้เราเป็นคนที่มองเรื่องราวต่างๆ ที่ซับซ้อนได้อย่างเป็นตรรกะ ตามแบบฉบับของ Consult ระดับโลก

 

🟡ปัญหาที่ต้องแก้คืออะไร

 

การแก้ปัญหาว่ายากแล้ว แต่การไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไรทำให้ทุกอย่างยากยิ่งขึ้น

 

ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด การเข้าใจ ‘แก่นแท้’ ของปัญหาคือสิ่งสำคัญที่สุด หยุดคิดถึงทางออกชั่วคราว แล้วโฟกัสที่การตั้งคำถามให้ถูกจุด เพื่อให้มั่นใจว่าคุณกำลังแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ปลายเหตุ

 

เช่น แทนที่จะถามว่า “ยอดขายตกทำไงดี?” ซึ่งกว้างเกินไปและไม่สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงได้ ควรเปลี่ยนเป็น “ลูกค้ากลุ่มไหนที่ไม่กลับมาซื้อใน 3 เดือนที่ผ่านมา?” หรือ “เราจะเพิ่มยอดขายกลับไปที่ 100 จานต่อวันได้อย่างไร ภายใน 3 เดือน ด้วยงบประมาณการตลาดที่จำกัดและจำนวนพนักงานเท่าเดิม?” การระบุให้ชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้คุณและทีมงานมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวางแผนได้ตรงจุด

 

🟡ปัญหานี้มีโครงสร้างเป็นอย่างไร

 

เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ว ขั้นต่อไปคือการแตกย่อยปัญหาใหญ่ออกเป็นส่วนเล็กๆ ที่จัดการได้ง่ายขึ้น โดยคิดบนหลักการว่า ต้องไม่มีข้อมูลใดซ้ำซ้อนกัน (Mutually Exclusive: ME)  และ ต้องไม่มีข้อมูลตกหล่น (Collectively Exhaustive: CE)

 

เช่น ยอดขายร้านอาหารลดลง อาจแบ่งหมวดหมู่ได้เป็น

 

🔸 ปัจจัยด้านลูกค้า: ลูกค้าประจำหายไป, ลูกค้าใหม่ไม่มา ฯลฯ

 

🔸 ปัจจัยด้านสินค้าและบริการ: รสชาติไม่คงที่, คุณภาพวัตถุดิบแย่ลง ฯลฯ

 

🔸 ปัจจัยภายนอก: คู่แข่งใหม่, เศรษฐกิจไม่ดี, เทรนด์การบริโภคเปลี่ยนไป ฯลฯ

 

🟡ส่วนไหนของปัญหาที่สำคัญที่สุด

การจัดลำดับความสำคัญคือการค้นหา ‘จุดคานงัด’ (Levers) หรือปัจจัยสำคัญที่หากแก้ไขแล้วจะส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุด โดยโฟกัสพลังงานและทรัพยากรไปที่จุดนั้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด

 

เช่น หากร้านอาหารยอดขายตก แม้ภาวะเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปควบคุมไม่ได้ กลับกัน เรื่องรสชาติ และคุณภาพอาหารนั้นสามารถปรับปรุงด้วยตัวเองได้

 

🟡ตั้งธงสมมติฐาน

สมมติฐาน คือการคาดเดาสาเหตุของปัญหา หรือแนวทางแก้ไขปัญหาที่น่าจะได้ผลดีที่สุด 

 

การมีสมมติฐานจะช่วยให้การวิเคราะห์มีทิศทางและมีประสิทธิภาพ กำหนดผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และเกณฑ์ความสำเร็จได้ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนทำงานอย่างมีทิศทางและวัดผลได้

 

เช่น ยอดขายอาหารลดลงเพราะเชฟฝีมือไม่นิ่ง ผู้รับผิดชอบก็ต้องเป็นเชฟและลูกมือ ที่มาร่วมกันฝึกฝนการทำให้รสชาติอาหารอร่อยเท่ากันทุกจาน ภายในระยะเวลาที่กำหนด

 

🟡วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างหลักฐานสนับสนุนหรือหักล้างสมมติฐานของคุณ ใช้ทั้งสามัญสำนึกและข้อมูลเชิงสถิติ ระมัดระวังอคติ (Bias) ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุด

 

เช่น เพื่อพิสูจน์สมมติฐานเรื่องรสชาติไม่คงที่ เชฟและลูกมือจะต้องช่วยกันชิมอาหาร หรือสอบถามลูกค้าว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไปหรือไม่ ตรวจสอบบันทึกการสั่งซื้อวัตถุดิบว่ามีการเปลี่ยนแปลงยี่ห้อหรือปริมาณหรือไม่ หากผลการชิมพบว่ารสชาติไม่เหมือนเดิมจริง หรือลูกค้าบอกว่ารสชาติไม่เหมือนเดิม แสดงว่าสมมติฐานนี้ถูกต้อง

 

🟡นำผลการวิเคราะห์มาตอบคำถาม

เมื่อได้ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์แล้ว ให้นำมาสังเคราะห์และสรุปเป็นเรื่องราว (Storytelling) ที่เข้าใจง่าย เชื่อมโยงข้อมูลสู่ Insight อย่างชัดเจน และตอบคำถามหลักของปัญหาได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเข้าใจว่า ‘แล้วเราควรทำอะไร’ ไม่ใช่แค่การนำเสนอกราฟหรือตัวเลขดิบๆ

 

🟡วางแผนลงมือแก้ไขปัญหา

ขั้นตอนสุดท้ายคือการเปลี่ยนคำแนะนำให้เป็นแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้จริง กำหนดขั้นตอนการลงมือทำ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) และสร้างกลไกการติดตามผล เพราะการวิเคราะห์ที่ดีจะไร้ความหมาย หากไม่นำไปสู่การลงมือทำและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

 

เวลาเจอปัญหา คนส่วนใหญ่มักติดกระดุมเม็ดแรกผิด ทำให้เสียเวลาอยู่ในเขาวงกตของปัญหาโดยไม่จำเป็น แต่หากมองปัญหาได้อย่างมีชั้นเชิง จะได้เรียนรู้การ “ทำน้อยได้มาก” เปลี่ยนปัญหาซับซ้อนให้เป็นโอกาส และสร้างพลังให้ตัวเองเติบโตอย่างแท้จริง

 

ชมคลิป

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising