จะดีแค่ไหนถ้าเรามี ‘พิมพ์เขียวในการคิดวิเคราะห์’ ที่ช่วยให้มองเห็นทางออกได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเสริมศักยภาพให้เราเป็นคนที่มองเรื่องราวต่างๆ ที่ซับซ้อนได้อย่างเป็นตรรกะ ตามแบบฉบับของ Consult ระดับโลก
🟡ปัญหาที่ต้องแก้คืออะไร
การแก้ปัญหาว่ายากแล้ว แต่การไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไรทำให้ทุกอย่างยากยิ่งขึ้น
ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด การเข้าใจ ‘แก่นแท้’ ของปัญหาคือสิ่งสำคัญที่สุด หยุดคิดถึงทางออกชั่วคราว แล้วโฟกัสที่การตั้งคำถามให้ถูกจุด เพื่อให้มั่นใจว่าคุณกำลังแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่ปลายเหตุ
เช่น แทนที่จะถามว่า “ยอดขายตกทำไงดี?” ซึ่งกว้างเกินไปและไม่สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงได้ ควรเปลี่ยนเป็น “ลูกค้ากลุ่มไหนที่ไม่กลับมาซื้อใน 3 เดือนที่ผ่านมา?” หรือ “เราจะเพิ่มยอดขายกลับไปที่ 100 จานต่อวันได้อย่างไร ภายใน 3 เดือน ด้วยงบประมาณการตลาดที่จำกัดและจำนวนพนักงานเท่าเดิม?” การระบุให้ชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้คุณและทีมงานมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวางแผนได้ตรงจุด
🟡ปัญหานี้มีโครงสร้างเป็นอย่างไร
เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ว ขั้นต่อไปคือการแตกย่อยปัญหาใหญ่ออกเป็นส่วนเล็กๆ ที่จัดการได้ง่ายขึ้น โดยคิดบนหลักการว่า ต้องไม่มีข้อมูลใดซ้ำซ้อนกัน (Mutually Exclusive: ME) และ ต้องไม่มีข้อมูลตกหล่น (Collectively Exhaustive: CE)
เช่น ยอดขายร้านอาหารลดลง อาจแบ่งหมวดหมู่ได้เป็น
🔸 ปัจจัยด้านลูกค้า: ลูกค้าประจำหายไป, ลูกค้าใหม่ไม่มา ฯลฯ
🔸 ปัจจัยด้านสินค้าและบริการ: รสชาติไม่คงที่, คุณภาพวัตถุดิบแย่ลง ฯลฯ
🔸 ปัจจัยภายนอก: คู่แข่งใหม่, เศรษฐกิจไม่ดี, เทรนด์การบริโภคเปลี่ยนไป ฯลฯ
🟡ส่วนไหนของปัญหาที่สำคัญที่สุด
การจัดลำดับความสำคัญคือการค้นหา ‘จุดคานงัด’ (Levers) หรือปัจจัยสำคัญที่หากแก้ไขแล้วจะส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุด โดยโฟกัสพลังงานและทรัพยากรไปที่จุดนั้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด
เช่น หากร้านอาหารยอดขายตก แม้ภาวะเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปควบคุมไม่ได้ กลับกัน เรื่องรสชาติ และคุณภาพอาหารนั้นสามารถปรับปรุงด้วยตัวเองได้
🟡ตั้งธงสมมติฐาน
สมมติฐาน คือการคาดเดาสาเหตุของปัญหา หรือแนวทางแก้ไขปัญหาที่น่าจะได้ผลดีที่สุด
การมีสมมติฐานจะช่วยให้การวิเคราะห์มีทิศทางและมีประสิทธิภาพ กำหนดผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และเกณฑ์ความสำเร็จได้ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนทำงานอย่างมีทิศทางและวัดผลได้
เช่น ยอดขายอาหารลดลงเพราะเชฟฝีมือไม่นิ่ง ผู้รับผิดชอบก็ต้องเป็นเชฟและลูกมือ ที่มาร่วมกันฝึกฝนการทำให้รสชาติอาหารอร่อยเท่ากันทุกจาน ภายในระยะเวลาที่กำหนด
🟡วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างหลักฐานสนับสนุนหรือหักล้างสมมติฐานของคุณ ใช้ทั้งสามัญสำนึกและข้อมูลเชิงสถิติ ระมัดระวังอคติ (Bias) ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุด
เช่น เพื่อพิสูจน์สมมติฐานเรื่องรสชาติไม่คงที่ เชฟและลูกมือจะต้องช่วยกันชิมอาหาร หรือสอบถามลูกค้าว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไปหรือไม่ ตรวจสอบบันทึกการสั่งซื้อวัตถุดิบว่ามีการเปลี่ยนแปลงยี่ห้อหรือปริมาณหรือไม่ หากผลการชิมพบว่ารสชาติไม่เหมือนเดิมจริง หรือลูกค้าบอกว่ารสชาติไม่เหมือนเดิม แสดงว่าสมมติฐานนี้ถูกต้อง
🟡นำผลการวิเคราะห์มาตอบคำถาม
เมื่อได้ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์แล้ว ให้นำมาสังเคราะห์และสรุปเป็นเรื่องราว (Storytelling) ที่เข้าใจง่าย เชื่อมโยงข้อมูลสู่ Insight อย่างชัดเจน และตอบคำถามหลักของปัญหาได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเข้าใจว่า ‘แล้วเราควรทำอะไร’ ไม่ใช่แค่การนำเสนอกราฟหรือตัวเลขดิบๆ
🟡วางแผนลงมือแก้ไขปัญหา
ขั้นตอนสุดท้ายคือการเปลี่ยนคำแนะนำให้เป็นแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้จริง กำหนดขั้นตอนการลงมือทำ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) และสร้างกลไกการติดตามผล เพราะการวิเคราะห์ที่ดีจะไร้ความหมาย หากไม่นำไปสู่การลงมือทำและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
เวลาเจอปัญหา คนส่วนใหญ่มักติดกระดุมเม็ดแรกผิด ทำให้เสียเวลาอยู่ในเขาวงกตของปัญหาโดยไม่จำเป็น แต่หากมองปัญหาได้อย่างมีชั้นเชิง จะได้เรียนรู้การ “ทำน้อยได้มาก” เปลี่ยนปัญหาซับซ้อนให้เป็นโอกาส และสร้างพลังให้ตัวเองเติบโตอย่างแท้จริง
ชมคลิป