จากข่าวการเสียชีวิตของ ‘ครูมัท’ ครูสอนภาษาอังกฤษ และดูแลงานการเงินของโรงเรียนบ้านบุหนองเทา อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนบทบาทและหน้าที่ของครู ซึ่งเป็นผู้ที่ส่วนสำคัญในการสร้างอนาคตของชาติ
‘ครู’ คือผู้สอน ไม่ใช่แค่สอนหนังสือแต่รวมถึงสอนการใช้ชีวิต แต่ปรากฏว่าหน้าที่ของครูไม่ได้มีแค่นั้น นอกจากสอนหนังสือ (ที่บางครั้งก็ไม่ได้สอนในวิชาการที่ตนเองถนัดหรือจบเอกมา) ครูยังต้องทำหน้าที่อื่นอีก อย่างครูมัทต้องดูแลเรื่องการเงิน แต่ยังมีครูแมว ครูเอิร์น ครูแบงค์ หรือครูตั้ม ที่ต้องทำอาหารกลางวัน ดูแลร้านสหกรณ์ของโรงเรียน พานักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นนโยบายมาจากข้างต้น (เช่น ปลูกต้นไม้และต่อต้านยาเสพติด) เป็นผู้บริหาร หรือดูแลงานวิชาการของโรงเรียน สิ่งที่ผมอยากรู้คือเวลาของครูในแต่ละวันถูกแย่งไปโดย ‘งานนอก’ พวกนี้เท่าไร และมีเกิดประโยชน์จริงๆ หรือไม่กับเด็กไทย
ทุกคนคงเห็นพ้องต้องกันว่าการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับประถมและมัธยม คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่มีประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศใดที่มีระบบการศึกษาที่ล้มเหลว แต่คำว่าล้มเหลวนี้ แม้จะดูน่ากลัวแต่มันก็ขึ้นอยู่กับมาตรวัดที่ผู้บริหารเลือกใช้ หลายสิบปีที่ผ่านมา ไทยมีสัดส่วนของประชากรที่รู้หนังสือมากขึ้น อ่านออกเขียนได้มากขึ้น เด็กออกกลางคันลดลง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เกิดจากการเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา สะท้อนจากการอัดฉีดงบประมาณเข้าไปในกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความพยายามในการปฏิรูปการศึกษา การคิดค้นหลักสูตรใหม่ๆ การนำปรัชญาการศึกษาใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้ ทั้งการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบแอ็กทีฟเลิร์นนิ่ง การส่งเสริมให้ครูไทยไปดูงานที่ฟินแลนด์ (ผมเพิ่งกลับจาก Helsinki ก็แอบงงว่า เราจะเอาโมเดลจาก Helsinki มาใช้ที่ไทยได้มากน้อยแค่ไหน) รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดโรงเรียนด้วยการมีอยู่ของโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนนานาชาติ เด็กไทยในปี พ.ศ. 2568 มีทางเลือกในการเรียนมากขึ้น แตกตามกันไปตามความยากดีมีจนของผู้ปกครอง และที่อยู่อาศัย
ท่ามกลางความก้าวหน้าของ ‘ปริมาณ’ การศึกษา ไทยก็มีปัญหาเรื่อง ‘คุณภาพ’ สะท้อนจากคะแนน PISA ก็ดี หรือปัญหา Skill Mismatch จบมาแล้ว ทักษะไม่ตรงกับที่ตลาดแรงงานต้องการ รวมถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา (Inequality in Education) ที่มีรากปัญหามาจากความเหลื่อมล้ำทางรายได้ (การเข้าถึงทรัพยากรที่ต่างกัน) คำถามสำคัญคือเราจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยอย่างไร แน่นอนว่าครูคือหัวใจของคำตอบนี้ การเพิ่มผลิตภาพ หรือ Productivity ของครู จึงเป็นทางออกที่ผมเชื่ออย่างสุดใจว่าจะช่วยพลิกฟื้นคุณภาพการศึกษาของไทยได้
โจทย์ก็คือ แล้ว Productivity นี้จะเพิ่มกันได้อย่างไร ซึ่งมันหมายถึงการทำงานที่ดีขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ใช้แรงน้อยลงแต่ผลลัพธ์เท่าเดิม หรือ ได้ผลลัพธ์มากขึ้น) ซึ่งในเรื่องของการเป็นครูนั้น ผมเชื่อว่าทุกคนที่เป็นครูต่างรักในการสอน มาเป็นครูเพราะอยากสอนเด็ก เห็นเด็กได้ดี เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง เป็นสมาชิกของสังคมคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความรู้ ทักษะ และความภาคภูมิใจ
Productivity ของครูจะไม่มีทางเกิดขึ้น หากครู ‘ไม่มีเวลา’ ครูไทยจึงต้องการเวลามากขึ้นหรือพูดง่ายๆ คือมีอิสระจาก ‘งานนอก’ มากขึ้น เวลาที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้ครูได้เอาเวลาไปเตรียมสอนหรืออัปเดตความรู้ หรือแม้แต่พักผ่อน การสอนหนังสือเป็นงานที่ต้องแสวงหาความรู้ตลอดเวลา การนั่งนิ่งๆ อ่านข่าว อ่านหนังสือ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเด็ก
ว่ากันว่า ครูก็เหมือนเรือจ้าง แต่ผู้ว่าจ้างไม่ใช่นักเรียนในห้อง แต่เป็น ‘ผู้ใหญ่’ ที่ต้องการดูหลักฐานการทำงาน ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง (แม้ทุกคนจะรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงมันใช้เวลา ใช่เกิดขึ้นเพียง 1-2 เทอม) และเชื่ออย่างสนิทใจว่างานของตัวเองนั้นสำเร็จ เมื่อรู้ว่าครูจิ๊บ ครูเหมี่ยว หรือครูบอม สามารถส่งมอบ ‘หลักฐาน’ ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของครู การไม่มีเด็กซ้ำชั้น การเข้าร่วมกิจกรรมแบบ 100% การไม่มียอดเงินคงค้างบัญชี แน่นอนมันเป็นเรื่องดี แต่มีคนสนใจบ้างหรือเปล่าว่า หลักฐานพวกนี้ใช้เวลาเท่าไร และมันจะเกิดอะไรขึ้นหากครูได้เอาเวลาพวกนี้ไปทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนจริงๆ
ผมได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับเพื่อนและรุ่นน้องที่เป็นผู้บริหารและเป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีขนาดที่ต่างกัน ทั้งคู่สะท้อนเรื่อง ‘งานนอก’ ที่ฟังแล้วไม่รู้จะสงสารใครก่อนระหว่างครูกับเด็ก ในกรณีของครูการเงิน ว่ากันว่า ไม่มีใครอยากทำ เพราะทำแล้วต้องทำตลอด ใครเก่งเลขมาทำ มีเซนส์เรื่องบวกลบคูณหารทางบัญชีก็ดีไป ใครสายอาร์ตก็อาจจะขมขื่น มีกรณีหนึ่ง เพิ่งเข้ามาทำเรื่องเงินทองๆ มี ‘ครูรุ่นพี่’ สอน แต่ดันสอนในสิ่งที่ผิด ทำไปแล้วผิดระเบียบ ก่อนวางสาย รุ่นน้องบอกกับผมว่า ‘สอนเด็กโง่ไม่ติดคุก แต่ทำบัญชีผิดติดคุกได้’ ฟังแล้วก็ไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงกับมัน
ผมมีไอเดียหนึ่งที่ลองถามพวกเขาว่า แล้วถ้าให้ ‘คนนอก’ เข้ามาทำเรื่องการเงินละ จะได้ไหม ข้อดีก็มันก็คือการคืนเวลาและความสุขให้ครู ความท้าทายคือโรงเรียนขนาดเล็กอาจไม่มีงบประมาณ (แล้วเพิ่มไม่ได้?) และ ‘คนนอก’ อาจไม่รู้ ‘บริบท’ ของโรงเรียน ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คนนอกจำเป็นต้องรู้บริบทของโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน แต่การ Streamline หรือทำให้ง่าย ชัด เป็นระบบ และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องเริ่มมองหาแนวทางแก้ไข
การถกเถียงลอยๆ มันก็คงไม่สร้างประโยชน์ให้กับการศึกษา ภาครัฐ โดยกระทรวงศึกษาธิการ อาจเริ่มทำ Sandbox หรือทำการทดลองขึ้นมา ศึกษาดูว่า ระหว่างโรงเรียนที่ใช้ Innovation อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ครูมีเวลาเพิ่มขึ้น กับโรงเรียนที่เป็นอย่างในปัจจุบัน ที่ครูใช้เวลาไปกับงานนอก ผลกระทบต่อเด็กและครูจะเป็นอย่างไร ผลกระทบที่ว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องของคะแนนสอบในกรณีของเด็กหรือคุณภาพการสอนในกรณีของครู แต่รวมถึงความสุข ความสบายใจ การรับรู้ถึงคุณภาพ และทัศนคติที่มีต่อการเรียนในชั้นเรียน
หากเราไม่สามารถ ‘คืนเวลา’ ให้กับครู โดยเฉพาะครูในระดับประถมและมัธยม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครูที่ทำงานอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็กในต่างจังหวัด การศึกษาไทยก็ยังจะหยุดอยู่กับที่ ไม่ไปไหน ไม่ว่าจะปฏิรูป ปรับปรุง หลักสูตร อีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง ไม่ว่าจะเพิ่มงบต่อหัวให้เด็กอีกกี่บาท ก็คงจะไม่ช่วยอะไร การศึกษาไทยก็จะไม่สามารถผลิตและป้อนคนที่มีคุณภาพได้ และเศรษฐกิจไทยก็คงจะไม่ได้ไปไกลอย่างที่ฝัน
ภาพ: smolaw / Shutterstock