สถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่ง USD เผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ (De-dollarization) ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง
ปรากฏการณ์นี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญแก่นักลงทุนว่า สถานะของ USD ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกกำลังสั่นคลอนจริงหรือไม่ และที่สำคัญกว่านั้นคือ เราควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในสภาวะเช่นนี้
บทความนี้ UOB Privilege Banking จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงปัจจัยเบื้องหลังความผันผวนของ USD พร้อมสำรวจมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม
อะไรทำให้ USD สั่นคลอน? เบื้องหลังกระแส De-dollarization
ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวลือและทฤษฎีเกี่ยวกับการลดทอนบทบาทของ USD มีส่วนทำให้ตลาดเกิดความกังวล ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีที่เชื่อมโยงกับข้อตกลง Mar-a-Lago Accord หรือแนวคิด ‘ระเบียบการเงินโลกใหม่’ แนวคิดนี้ริเริ่มในเดือน พ.ย. 2024 โดย สตีเฟน มิแรน นักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์
โดย Mar-a-Lago Accord มีแนวคิดว่า เพื่อลดขาดดุลการค้าของอเมริกาที่มีต่อประเทศต่างๆ สกุลเงินดอลลาร์ ‘ควรอ่อนค่าลง’ และขณะเดียวกัน มิแรนก็ต้องการให้ดอลลาร์ยังคงเป็น ‘สกุลเงินหลักของโลก’ เนื่องจากการที่ดอลลาร์แข็งค่าเกินไป ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ความสามารถในการแข่งขัน และการส่งออก
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายการค้า และเหตุการณ์ ‘Liberation Day’ ซึ่งเป็นวันที่ทรัมป์ประกาศใช้หรือบังคับใช้มาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ชุดใหญ่ต่อสินทรัพย์ที่นำเข้าจากประเทศคู่ค้าเกือบทั้งหมด รวมถึงการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตราที่สูงมากถึง 145% ก่อให้เกิดกระแสการโจมตีสกุลเงินดอลลาร์ออกมาอย่างแพร่หลาย มีข่าวลือต่างๆ ออกมาสู่ตลาดมากมายจนแทบจะแยกไม่ออกว่าข่าวใดจริงหรือเท็จ ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ระดับ 98
กระแสข่าวที่แพร่หลายประเด็นแรกคือ จีนจะโค่นล้มสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจากความตึงเครียดด้านการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยจีนจะขยายการใช้งาน CIPS ในภูมิภาคอาเซียน และตะวันออกกลาง ผ่านการใช้ ‘ดิจิทัลหยวน’ ในการโอนเงินข้ามประเทศ เพื่อลดการใช้ระบบ SWIFT ซึ่งเป็นการโอนเงินระหว่างประเทศที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากประเทศในอาเซียนหรือจีนว่าจะทำสิ่งนี้ ดิจิทัลหยวนของจีนนั้นถูกจัดตั้งขึ้นและใช้อย่างแพร่หลายในจีน ฮ่องกง และมาเก๊า รวมถึงมีความร่วมมือในช่วงทดลองใช้งานดิจิทัลหยวนกับธนาคารกลางหลายแห่ง แต่ดิจิทัลหยวนจะเน้นการใช้งานไปที่การใช้จ่ายส่วนบุคคลและยังไม่ได้ขยายขอบเขตไปสู่โครงการการค้าระดับภูมิภาค
ประเด็นที่ 2 ที่ทำให้ตลาดไม่มั่นใจในสกุลเงินดอลลาร์คือ เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่จะครบกำหนดในช่วงกลางเดือน ก.ค. และยังเป็นช่วงที่ใกล้กับวันครบกำหนดพักการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าแบบตอบโต้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เลื่อนออกไป 90 วัน ในวันที่ 9 ก.ค. ส่งผลให้คาดการณ์ว่าจะมีการออกพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวนมากในช่วงเดือน ก.ค. เพื่อขยายเพดานหนี้
ประกอบกับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) จาก Moody’s ลงจาก AAA เป็น AA1 โดยระบุว่า แม้เศรษฐกิจและสถานะทางการเงินโดยรวมของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แต่มีปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนี้สาธารณะยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสพบว่า พรรครีพับลิกันกำลังพยายามจะผ่านร่างกฎหมายเพื่อลดภาษีคนในประเทศ ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จากที่สูงอยู่แล้ว 36.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 120% ของ GDP ไปสู่ระดับ 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงทศวรรษข้างหน้า การปรับลดเรตติ้งของมูดีส์อาจเกิดขึ้นเพื่อเตือนสติให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายและปฏิรูปการคลังอย่างเร่งด่วน
นอกจาก 2 ปัจจัยหลักที่กล่าวมาแล้วจากความไม่แน่นอนและผันผวนของนโยบายการค้าส่งผลให้ผู้ส่งออกจำนวนมากและนักลงทุนในเอเชียมีการกักตุนเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากความกังวลว่าภาษีสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นอาจกดดันสกุลเงินเอเชียและตลาดเกิดใหม่ แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดในการเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์ แต่หากสมมติฐานบนตัวเลขการชำระเงินทางการค้าในสกุลเงินดอลลาร์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเอเชียตะวันออกอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะมีการป้องกันความเสี่ยงโดยเฉลี่ยที่ 50% สะท้อนว่าอาจมีการกักตุนเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการค้าได้ผ่อนคลายขึ้นในช่วงต่อมาหลังจากมีการเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน, การเจรจาการค้ากับจีนและทำข้อตกลงกับสหราชอาณาจักร ผู้ส่งออกหลายรายที่กักตุนดอลลาร์ไว้ในช่วงแรก จึงได้มีการเทขายและลดสัดส่วนการถือครองลง เกิดแรงเทขายในสกุลเงิน USD/Asia เกิดขึ้น เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเช่นกัน
แต่หากพิจารณาระบบการค้าทั่วโลกในปัจจุบัน พบว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินหลัก โดยมีสัดส่วนถึง 49% ในการใช้จ่ายทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 42% ในปี 2022 ในขณะที่การใช้จ่ายด้วยเงินหยวนมีสัดส่วนเพียง 4.1% แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าเงินดอลลาร์คือ สกุลเงินยูโร (EUR) ที่มีสัดส่วนลดลงจาก 36% ในปี 2022 สู่ระดับ 22% สะท้อนว่าสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินหลักในการใช้จ่ายทั่วโลกอยู่
ทิศทางของดอลลาร์และสกุลเงินหลักทั่วโลก
ปัจจัยที่เกิดขึ้นและส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงล้วนแต่เป็นปัจจัยระยะสั้น แต่สิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนสกุลเงินในระยะกลางถึงยาวคืออัตราดอกเบี้ยและการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางต่างๆ
การปรับลดดอกเบี้ยในอนาคตของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เราคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ครั้งละ 25 bps ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อรองรับการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจากนโยบายการค้าที่ตึงเครียด
จากปัจจัยข้างต้น UOB Global Economics & Markets Research ยังคงมุมมองว่า USD มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าดัชนีดอลลาร์ (DXY) อาจต่ำกว่าระดับ 100 และมีโอกาสปรับตัวลงไปถึงระดับ 96.9 ภายในไตรมาสแรกของปี 2569
ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2025
แต่เราก็ยังคำนึงถึงความเสี่ยงในกรณีที่ภาษีสินค้านำเข้าส่งผลให้เงินเฟ้อคงอยู่ในระดับสูง และ Fed ต้องดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป อาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐยังไม่อ่อนค่าลงมาก เนื่องจากความไม่แน่นอนทางข้อตกลงการค้ายังคงอยู่ ซึ่งอาจทำให้ตลาดค่าเงินเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอด
สำหรับค่าเงินบาท (USD/THB) ยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายประการ ซึ่งรวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย อีกทั้งปัจจัยภายในประเทศ เช่น การเกิดแผ่นดินไหววันที่ 28 มี.ค. และการไหลออกของเงินทุนจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
UOB คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือน มิ.ย. และคาดการณ์ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ (USD/THB) ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าอยู่ที่ 32.9 บาทต่อดอลลาร์ ในไตรมาส 1 ปีหน้า
อ้างอิง: UOB Global Economics & Markets Research Updated on 21 พฤษภาคม 2025
กลยุทธ์จัดพอร์ตและกองทุนเด่นในช่วงที่สินทรัพย์มีความผันผวน
ภาวะที่ตลาดขาดความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินหลักของโลกอย่างดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับความผันผวนและไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก UOB Privilege Banking แนะนำการจัดพอร์ตที่แข็งแกร่ง สร้างความทนทานและสร้าง Income ได้สม่ำเสมอ ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ Investment Grade และหุ้นปันผลคุณภาพดี รวมถึงกระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
- ตราสารหนี้คุณภาพดี สามารถเลือกลงทุนโดยตรงผ่าน Offshore Bond เพื่อสร้าง Passive Income UOB Privilege Banking คัดสรรตราสารหนี้ระดับ Investment Grade และเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Microsoft Corp, Lenovo Group Ltd, Amazon.com Inc หรือ United States Treasury Note/Bond เป็นต้น หรือเลือกกระจายการลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศทั่วโลก อย่างเช่น กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ที่ลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (Class I) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างกระแสรายได้ในระดับสูงโดยการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ และมีวัตถุประสงค์รองในการสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว
- หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยหุ้นคุณภาพดีจะมีกระแสเงินสดที่มั่นคงและงบดุลที่แข็งแกร่งมักจะจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ มีความผันผวนที่ต่ำกว่าตลาดโดยรวม และเงินปันผลยังช่วยสร้าง Total Return ที่ดีให้กับนักลงทุนอีกด้วย แนะนำลงทุนผ่านกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลดิวิเดนด์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ (KFGDIV) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Fidelity Funds – Global Dividend Fund, Class Y-QINCOME(G)-USD (กองทุนหลัก) มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลนอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นที่ลงทุน
- ทองคำ ยังมีปัจจัยหนุนหลายประการทั้งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะที่มีความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอน อีกทั้งธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกมีการสะสมทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง UOB จึงยังมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำ โดยคาดการณ์ราคาทองคำอยู่ที่ 3400 USD/oz ในไตรมาส 3 ปี 2025, 3500 USD/oz ในไตรมาส 4 ปี 2025 และ 3600 USD/oz ในไตรมาส 1 ปี 2026 นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ / กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ (SCBGOLD / SCBGOLDH ) หรือลงทุน Offshore Fund ผ่านกองทุน Pictet Physical Gold
สำหรับท่านที่สนใจเพิ่มเติม สามารถศึกษารายละเอียดและติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน